Daily Focus: กลุ่ม Tech เผชิญแรงขาย // Domestic มีโอกาส Rebound
2025 SET Target : 1180
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index แกว่งตัว Sideways ในช่วงครึ่งเช้าโดยรอผลการประชุมของศาลรัฐธรรมนูญ ก่อนที่จะปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งในช่วงบ่ายตอบรับศาลฯ ที่รับคำร้องถอดถอนนายกฯ โดยดัชนีปิดบวกได้ถึง 20.45 จุด ที่ระดับ 1,110.01 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 4.2 หมื่นลบ. สถาบันในประเทศและบัญชีบล.เป็นฝ่ายซื้อสุทธิ ขณะที่นักลงทุนต่างชาติ และรายย่อยขายสุทธิกลุ่มฝ่ายละราว 800 ลบ.ใกล้เคียงกัน (ต่างชาติ Long Index Futures สุทธิอีก 5.1 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET Index จะแกว่งตัว Sideways to Sideways Up โดยฟื้นตัวกลับมาใกล้ทดสอบแนวต้านหลัก 1,120 จุดอีกครั้ง แม้ปัจจัยต่างประเทศอาจยังไม่มีประเด็นหนุน แต่คาดได้อานิสงส์จากปัจจัยการเมืองในประเทศที่ดูนิ่งขึ้นในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. ระหว่างรอผลการตัดสินของศาลรัฐธรรมนูญ กลุ่มเทคโนโลยีสหรัฐฯ เผชิญแรงขายหลังปรับตัวขึ้นแข็งแกร่งในช่วงก่อนหน้า โดยคาดอาจเป็นปัจจัยกดดัน DELTA อย่างไรก็ตาม เราประเมินว่าปัจจัยความไม่แน่นอนทางการเมืองในประเทศที่ผ่อนคลายขึ้นชั่วคราวหลังศาลรัฐธรรมนูญรับคำร้องถอดถอนนายกฯ โดยเบื้องต้นประเมินว่าผลการวินิจฉัยจะใช้เวลาราว 2 เดือน ทำให้ระหว่างนี้รัฐบาลปัจจุบันยังคงเดินหน้านโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจต่างๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งการผ่านร่างงบประมาณปี 69 ที่จะเข้าสภาในเดือน ส.ค. ซึ่งหากสามารถอนุมัติได้ และไม่มีความล่าช้า จะช่วยปลดล็อกปัจจัยเสี่ยงได้หนึ่งประเด็น นอกจากนี้หากผลการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ ในวันที่ 3 ก.ค. ออกมาในเชิงบวกในแง่อัตราภาษีที่ได้รับ โดยปัจจุบันตลาดประเมินที่ 18% จะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยหนุนดัชนี ระยะสั้นเรามองกลุ่ม Domestic Play มีโอกาสฟื้นตัวหลังจากที่เผชิญแรงเทขายอย่างหนักในเดือน มิ.ย. จากปัจจัยการเมืองในประเทศและเศรษฐกิจที่ชะลอ โดยปัจจุบันมี Valuation ที่ต่ำผิดปกติ
กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและมีแนวโน้มผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือน ก.ค. : ITC, KCE, NEO, OSP, SCGP
FSSIA Portfolio : BA, CENTEL, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, PR9, STECON
หุ้นเด่น Finansia 2 ก.ค. 25 : CPALL
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 65 บาท
- เรายังคงมุมมองเชิงบวกต่อการเติบโตของ CPALL ที่คาดกำไรปี 2025-27 จะเติบโต 9.4% CAGR สูงสุดในกลุ่ม Consumer Staple ทั้งการขยายสาขา รวมถึงสินค้าอาหารพร้อมทานซึ่งช่วยหนุน Margin
- เรามองราคาหุ้นที่ปรับตัวลง 20% YTD เป็นโอกาสในการเข้าลงทุนโดยปัจจุบันเทรด PER ต่ำเพียง 14 เท่า ขณะที่ปัจจัยการเมืองที่คาดนิ่งขึ้นในช่วงเดือน ก.ค.-ส.ค. ระหว่างรอคำติดสินของศาลฯคาดช่วยหนุนกลุ่ม Domestic Play ฟื้นตัว
- แนวรับ 43.25//42 บาท แนวต้าน 45//46.25-47 บาท
Fund Flow : วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติพลิกกลับมาไหลเข้าภูมิภาคสุทธินำโดยไต้หวัน US$1,685 ล้าน ตามด้วยเกาหลีใต้ US$106 ล้าน ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินผสมผสาน ไหลออกจากไทยและอินโดนีเซียประเทศละ US$24-43 ล้าน แต่ไหลเข้าฟิลิปปินส์ US$17 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าจะชะลอการไหลเข้า โดยไม่มีปัจจัยบวกใหม่หนุน ขณะที่ตลาดรอติดตามช่วงสุดท้ายของการเจรจาการค้า รวมถึงพัฒนาการการผ่านกฎหมาย Trump’s Megabill
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) กลุ่ม Consumer staple แม้การบริโภคในประเทศจะยังมีความไม่แน่นอนในช่วง 2H25 แต่เรายังคาดกำไรของหุ้น Consumer staple แข็งแกร่งกว่ากลุ่มค้าปลีก แนวโน้มกลุ่มค้าปลีกยังไม่ราบรื่น แต่เราคาด Downside จำกัดมากแล้ว เนื่องจากดัชนีกลุ่มค้าปลีกปรับตัวลดลงไปแล้ว 30% YTD ขณะที่กำไรยังเติบโตต่อเนื่อง และ Valuation ปัจจุบันถูกเกินไป เราให้น้ำหนักเท่ากับตลาดสำหรับกลุ่ม Consumer staples Top pick คือ CPALL และ CRC
(+) CPAXT ยังคาดว่า CPAXT จะเป็นผู้นำในธุรกิจค้าส่งและโฮเปอร์มาร์เกต แต่แนวโน้มการเติบโตมีความท้าทายมากยิ่งขึ้น ท่ามกลางการแข่งขันที่รุนแรงขึ้น คาดกำไรปี 2025-27 เติบโตเฉลี่ย 7.2% CAGR หนุนจากการเปิดสาขาใหม่และประโยชน์ที่ได้รับจากการควบรวม ซึ่งจะช่วยหนุนอัตรากำไรขั้นต้นให้สูงขึ้นและประหยัดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานราคาเป้าหมายใหม่ 23 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”
(+) CRC เรามุมมองเชิงบวกต่อการแต่งตั้งประธานเจ้าหน้าที่บริหารคนใหม่เพื่อปรับกลยุทธ์ให้กลับมาร้อนแรงอีกครั้งและมองหาการเติบโตแบบ S-curve ใหม่ คาดการเติบโตของกำไรจะเร่งตัวขึ้นจนถึงปี 2026-27 ราคาหุ้นที่ปรับลง 48% YTD ขณะที่กำไรที่คาดว่าจะเร่งตัวขึ้นตลอดปี 2026-27 Valuation ไม่แพง
ราคาเป้าหมายใหม่ 26 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”
(+) BJC ธุรกิจมีการกระจายความเสี่ยง แต่การเติบโตในธุรกิจค้าปลีกยังมีความท้าทาย คาดกำไรสุทธิปี 2025 +11.5% y-y จากการเติบโตของรายได้และอัตรากำไรขั้นต้นที่สูงขึ้น แต่น่าจะตื่นเต้นน้อยลงใน 2Q-4Q25 จากฐานสูงในปีก่อน Upside ระยะยาวจากทั้ง synergy และการปรับโครงสร้างที่ยังไม่แน่นอน แต่ downside จำกัด พร้อม div. yield 4.6% ราคาเป้าหมายใหม่ 24 บาท คงคำแนะนำ “ซื้อ”
(0) TU คาดกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 1.18 พันลบ. +16% q-q โดยโตทุกธุรกิจ แต่คาด -3% y-y เพราะปีก่อนยังมี transformation cost ผู้บริหารให้วิวคำสั่งซื้อใน 2H25 จะดีกว่า 1H25 โดยยังไม่เห็นสัญญาณการชะลอของคำสั่งซื้อ และยังคาดคำสั่งซื้อ 3Q25 ยังฟื้นตัวต่อเนื่องจากช่วง high season ของธุรกิจ และปัจจุบันยังไม่ได้รับผลกระทบจาก US tariff คงประมาณการกำไรและราคาเป้าหมาย 11.70 บาท และ div. yield 5-6% คงคำแนะนำ “ถือ”
(+) ตลาดดาวโจนส์ เพิ่มขึ้น 400.17 จุด หรือ +0.91%, ปิดที่ 44,494.94 จุด แต่ดัชนี Nasdaq และ S&P500 ปิดในแดนลบ เนื่องจากแรงขายหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีที่มีมาร์เก็ตแคปสูง ขณะที่นักลงทุนประเมินผลกระทบทางเศรษฐกิจที่เกิดจากร่างกฎหมายภาษีของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ รวมทั้งจับตาตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลดลงเล็กน้อย โดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและธนาคารถ่วงตลาดลงมากที่สุด ขณะที่นักลงทุนยังคงประเมินความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ขณะที่เส้นตายการเก็บภาษีในเดือน ก.ค. กำลังใกล้เข้ามา รวมถึงการหารือเกี่ยวกับร่างกฎหมายภาษีของสหรัฐฯ
(-) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดลบ รอการรายงานตัวเลขแรงงานสหรัฐฯ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด)
(+) ค่าเงินบาท อ่อนค่าอยู่ที่บริเวณ 32.47 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ 0.02%
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 34 เซนต์ หรือ 0.52% ปิดที่ 65.45 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังมีข้อมูลบ่งชี้ว่าภาคการผลิตของจีนกลับมาขยายตัวอีกครั้ง ซึ่งทำให้นักลงทุนมีมุมมองบวกเกี่ยวกับแนวโน้มอุปสงค์น้ำมัน อย่างไรก็ดี นักลงทุนระมัดระวังการซื้อขายก่อนที่จะรู้ผลการประชุมของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส ในวันที่ 6 ก.ค.นี้ ขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 65.41 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.06%
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 42.10 ดอลลาร์ หรือ 1.27% ปิดที่ 3,349.80 ดอลลาร์/ออนซ์ เนื่องจากนักลงทุนเข้าซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย หลังจากวุฒิสภาสหรัฐฯ ผ่านร่างกฎหมายภาษีและการใช้จ่ายของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ซึ่งร่างกฎหมายดังกล่าวมีแนวโน้มที่จะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ เผชิญกับการขาดดุลงบประมาณ ขณะที่นักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานของสหรัฐฯ ในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 3,349.10 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ -0.02%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 948.23 / -0.45%
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
3 ก.ค. | สหรัฐ: Non-Farm Payrolls (มิ.ย.), นำเข้า/ส่งออก (พ.ค.), ISM Manufacturing PMI (มิ.ย.) |
7 ก.ค. | ไทย: เงินเฟ้อ (พ.ค.) |
9 ก.ค. | จีน: เงินเฟ้อ (พ.ค.) สหรัฐ: FOMC Minutes |
1z0 ก.ค | สหรัฐ: Initial Jobless Claim (มิ.ย./28) |
11 ก.ค. | จีน: ยอดขายรถยนต์ (มิ.ย.) |