รอติดตามเจรจาการค้าไทยกับสหรัฐฯ คืนนี้
Market Update
ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบเล็กน้อย 10 จุด (-0.02%) หลังมีรายงานว่าการจ้างงานภาคเอกชนของสหรัฐฯ ปรับตัวลงครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 2.98% แรงหนุนจากปัจจัยอิหร่านระงับความร่วมมือพลังงานระหว่างประเทศ
Market Outlook
เมื่อคืนที่ผ่านมาสหรัฐฯ ประกาศการจ้างงานภาคเอกชนที่สำรวจโดย ADP พบว่าลดลง 33,000 ตำแหน่ง แย่กว่าที่ Bloomberg Consensus คาดว่าจะเพิ่มขึ้น 99,000 ราย ทาง ADP ได้ระบุว่าแม้การเลิกจ้างจะเกิดขึ้นไม่บ่อยนัก แต่ความลังเลในการจ้างงานใหม่และความไม่เต็มใจในการแทนที่พนักงานที่ลาออก ทำให้การจ้างงานลดลงในเดือนที่ผ่านมา แต่อย่างไรก็ตาม การชะลอการจ้างงานยังไม่ส่งผลกระทบต่อการเติบโตของค่าจ้าง โดยอุตสาหกรรมที่จ้างงานลดลง ได้แก่ ภาคการเงิน ให้บริการปรึกษาด้านธุรกิจ การศึกษา และการแพทย์ อย่างไรก็ตาม ยังไม่พบความน่ากังวลเกี่ยวกับเศรษฐกิจมากนัก เพราะยังไม่เห็นการปรับลงอย่างมีนัยยะของตลาดพันธบัตร แต่อย่างไรก็ตาม Dollar Index นั้นเดินหน้าอ่อนค่าต่อเนื่อง
ในขณะเดียวกัน เมื่อคืน ทรัมป์ ก็ได้ประกาศ Deal การค้าระหว่างสหรัฐฯ กับเวียดนาม ระบุว่าเวียดนามยินดีจะจ่ายภาษีนำเข้าให้กับสหรัฐฯ ในอัตรา 20% และ 40% สำหรับสินค้าที่ส่งต่อผ่านเวียดนาม แต่แลกกับการที่สหรัฐฯ สามารถส่งออกสินค้าไปยังเวียดนามโดยที่ไม่มีกำแพงภาษี (Zero Tariff) ซึ่งทรัมป์ก็ได้ระบุว่ารถยนต์ SUV ที่ประสบความสำเร็จอย่างมากในสหรัฐฯ จะเป็นส่วนเสริมที่ยอดเยี่ยม เวียดนามถือเป็นประเทศที่ 3 ในการบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯ (ก่อนหน้ามีอังกฤษและจีน) ด้วยภาษีนำเข้าของเวียดนามที่นับว่าอยู่ในระดับที่ไม่ค่อยสูง จะสร้างแรงกดดันต่อประเทศไทยต่อเศรษฐกิจและตลาดหุ้น แม้ไทยกำลังอยู่ในช่วงเจรจาภาษีกับสหรัฐฯ แต่หากไปดูหลายๆ ประเทศที่เข้าพูดคุยกับสหรัฐฯ จะพบว่ามักมีการพูดคุยกันหลายรอบกว่าจะสำเร็จ ดังนั้นการเจรจาของไทยกับสหรัฐฯ ในคืนนี้อาจไม่สำเร็จทันที และยังไม่เป็นที่แน่ชัดว่าท้ายที่สุดแล้วไทยจะเผชิญกับภาษีอัตราเท่าใด หากเผชิญภาษีนำเข้าที่มากกว่า 20% จะทำให้เสียเปรียบการแข่งขันทั้งการส่งออกและนิคมอุตสาหกรรม
ตลาดหุ้นไทยระยะสั้นจึงอาจเผชิญกับแรงกดดันจากประเด็นนี้ เมื่อผสานกับจำนวนนักท่องเที่ยวที่ลดลง ทำให้พื้นฐานเศรษฐกิจไทยยังไม่แข็งแกร่ง คืนนี้รอติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่สำคัญประกอบไปด้วยอัตราการว่างงานและการจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 4.3%, 110,000 ราย รวมไปถึงเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ
วันนี้ประเมิน SET เคลื่อนไหวในกรอบ 1100 – 1125 อาจเผชิญแรงกดดันระยะสั้นจากภาษีเวียดนามที่ค่อนข้างต่ำ ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนอาจเลือกทำกำไรระยะสั้น เนื่องด้วยตลาดหุ้นที่ปรับขึ้นมาและเผชิญกับแรงกดดันจากภาษีเวียดนาม แต่หากปรับลงมายังมองเป็นโอกาสสำหรับนักลงทุนระยะกลาง แต่เน้นที่หุ้นใหญ่พื้นฐานดี อาทิ CPN ค้าปลีก (BJC, CPALL) ธนาคารพาณิชย์ (BBL, KBANK, KTB, SCB) โรงพยาบาล (BDMS)
หุ้นแนะนำซื้อวันนี้
BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท)
คาดการณ์รายได้ปี 2025 ที่เติบโตในอัตราลดลง (-2%) โดยใน 1Q25 ประกาศกำไรสุทธิที่ 4.3 พันล้านบาท (-7% YoY) ทรงตัวจากไตรมาสก่อน หนุนจาก 1) รายได้รับรู้จากโรงพยาบาลและเตียงผู้ป่วยใหม่ และ 2) การเติบโตของผู้ป่วยต่างชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มตะวันออกกลาง (+22% YoY) และ CLMV (+11% YoY) ขณะที่ใน 2Q25 เรามองว่าผลประกอบการจะเติบโต YoY แม้อ่อนตัว QoQ จาก 1) ปัจจัยฤดูกาล และ 2) จำนวนผู้ป่วยต่างชาติชะลอตัวในเดือนเมษายน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบระยะสั้นจากเหตุแผ่นดินไหว ทั้งนี้ เราคาดว่าสามารถชดเชยจากการฟื้นตัวในเดือนพฤษภาคม (+6% YoY)
MINT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท)
2Q25 กำไรปกติจะเติบโตสูง QoQ และมีโอกาสเติบโต YoY หนุนจาก 1) แนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรม ด้วยยอดการจองล่วงหน้าตั้งแต่เดือนเมษายนอยู่ในระดับที่ดี โดยเฉพาะในโซนยุโรปที่กำลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หนุน RevPar ปรับตัวสูงขึ้น 2) โรงแรมในประเทศไทยได้รับอานิสงส์จากช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้ทั้งอัตราการเข้าพัก (Occupancy) และ RevPar อยู่ในเกณฑ์ที่ดี และ 3) คาดว่ารายได้ธุรกิจร้านอาหารจะฟื้นกลับมาทรงตัว YoY ด้วยยอดขายไอศกรีมมะม่วง เมนูฤดูกาลยอดนิยมที่เริ่มเปิดการขายจาก 1Q25 มาใน 2Q25 เนื่องจากสภาพอากาศต้นปีที่หนาวยาวนานกว่าปีก่อน