Daily Focus: ลุ้นดีลการค้าไทย-สหรัฐฯ หลังเวียดนามบรรลุข้อตกลงแล้ว
2025 SET Target: 1180
ตลาดหุ้นวานนี้: SET Index แกว่งตัว Sideways to Sideways Up ตามคาด โดยระหว่างวันมีจังหวะลบบ้าง ก่อนที่จะมีแรงซื้อหนุนให้ดัชนีพลิกมาปิดบวกได้เล็กน้อย 5.68 จุด ที่ระดับ 1,115.69 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อขาย 3.5 หมื่นลบ. สถาบันในประเทศซื้อสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องอีก 2.4 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติยังขายสุทธิ 680 ลบ. (และพลิกมา Short Index Futures สุทธิ 7.1 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้: เราคาดว่า SET Index จะแกว่งตัว Sideways ในกรอบ 1,110-1,120 จุด อยู่ระหว่างทดสอบแนวต้านหลัก 1,120 จุด หากทะลุผ่านจะเป็นบวก ภาพรวมตลาดยังไม่มีปัจจัยหนุนใหม่ โดยสำหรับรอติดตามผลการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯคืนนี้ ล่าสุดเวียดนามบรรลุข้อตกลงการค้ากับสหรัฐฯแล้ว โดยยอมถูกเก็บภาษีนำเข้า 20% และสินค้าเวียดนามยอมให้ประเทศอื่นส่งผ่าน 40% ขณะที่สหรัฐฯส่งออกไปยังเวียดนามได้โดยไม่เสียภาษี ซึ่งเราคาดว่าอาจสามารถใช้อ้างอิงกับไทยได้ ทำให้เราเชื่อว่ามีโอกาสที่ไทยจะถูกเรียกเก็บภาษี 18% หรือต่ำกว่า ขณะที่อาจต้องยอมให้สหรัฐฯส่งออกสินค้ามายังไทยบางรายการได้โดยไม่เสียภาษี ซึ่งหากออกมาเช่นนี้ เราคาดว่าตลาดจะตอบรับเป็นกลางถึงบวกจากผลกระทบของเศรษฐกิจที่จะไม่มาก ขณะที่ตัวเลขเศรษฐกิจสำคัญคืนนี้อยู่ที่การจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯ ตลาดคาดชะลอตัวเหลือ 1.1 แสนราย อย่างไรก็ตาม หากออกมาต่ำกว่าคาดหรือถึงขั้นพลิกมาติดลบอย่างตัวเลขการจ้างงานภาคเอกชนของ ADP แม้จะทำให้ตลาดคาดหวังต่อการลดดอกเบี้ยของ FED ที่เร็วขึ้น แต่คาดตลาดอาจตอบรับเชิงลบโดยให้น้ำหนักกับความกังวลด้านเศรษฐกิจที่ชะลอมากกว่า ส่วนปัจจัยการเมืองในประเทศที่มีแนวโน้ม “นิ่งขึ้น” ชั่วคราวในเดือน ก.ค.-ส.ค. คาดยังหนุนให้กลุ่ม Domestic Play มีโอกาสฟื้นตัวระยะสั้น หลังจากที่เผชิญแรงเทขายอย่างหนักในเดือนก่อน ทำให้ Valuation ต่ำกว่าที่ควรจะเป็น
กลยุทธ์: เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและมีแนวโน้มผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือน ก.ค.: ITC, KCE, NEO, OSP, SCGP
FSSIA Portfolio: BA, CENTEL, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, PR9, STECON
หุ้นเด่น Finansia 3 ก.ค. 25 : TOP
- แนะนำ “เก็งกำไร” ราคาเป้าหมายเฉลี่ยจาก IAA Consensus 29.59 บาท
- ระยะสั้นคาดได้ Sentiment บวกจากราคาน้ำมันดิบที่กลับมาปรับตัวขึ้นราว 3% หลังอิหร่านระงับความร่วมมือกับหน่วยงานตรวจสอบด้านนิวเคลียร์ของ UN รวมถึงตอบรับการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ-เวียดนาม
- ตลาดประเมินกำไร 2Q25 ของ TOP จะออกมาแข็งแกร่งมากจากค่าการกลั่นที่อยู่ในระดับสูง และปัจจุบันยังอยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่องที่เหนือ US$5 ต่อบาร์เรล ราคาหุ้นเทรด PBV ต่ำเพียง 0.35 เท่าและให้ Dividend Yield ราว 7%
- แนวรับ 27//26 บาท แนวต้าน 29//30-31 บาท
Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติผสมผสาน สุทธิแล้วไหลออกจากภูมิภาค US$222 ล้าน เม็ดเงินไหลออกจากเกาหลีใต้ US$381 ล้าน แต่ยังไหลเข้าไต้หวัน US$252 ล้าน ส่วนฝั่งอาเซียนเม็ดเงินไหลออกสูงสุดที่อินโดนีเซีย US$76 ล้าน รองลงมาคือไทย US$21 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ายังคงผสมผสาน โดยรอติดตามตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรสหรัฐฯคืนนี้ รวมถึงพัฒนาการช่วงโค้งสุดท้ายของการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ
ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) SCC โมเมนตัมกำไรค่อย ๆ ฟื้นตัวจากธุรกิจซีเมนต์และบรรจุภัณฑ์กระดาษ ขณะที่ธุรกิจปิโตรเคมียังไม่สดใสจากภาวะ oversupply โดยภาพรวมกำไรได้ผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในช่วง 4Q24 และเริ่มฟื้นตัวใน 1Q25 ด้วยกำไร 1.1 พันลบ. จากธุรกิจซีเมนต์ที่มีความต้องการใช้เพิ่มขึ้นตามการลงทุนภาครัฐ นอกจากนี้ยังได้ประโยชน์จากการขึ้นราคาปูนซีเมนต์ 20% ใน 2Q25 เราคาดกำไร 2Q25 จะเป็นจุดสูงสุดของปีนี้ หนุนจาก dividend income, operation โดยรวมดีขึ้น และกำไรจากการขายหุ้นบางส่วนในโรงกลั่น CAP แม้ระยะสั้นยังมีความเสี่ยงด้านเศรษฐกิจ แต่กำไรจะค่อย ๆ ฟื้นตัว เราคาดกำไรสุทธิปี 2025 +42% y-y และให้ราคาเป้าหมาย 200 บาท แนะนำ “ซื้อ”
(+) กลุ่มค้าปลีก SSSG เดือน มิ.ย. 2025 ภาพรวมจะเห็นแนวโน้ม SSSG ที่ปรับตัวดีขึ้นตามที่คาด จากตัว gap ฝนตก y-y ที่น้อยลงในเดือน มิ.ย. โดยเฉพาะในส่วนของกลุ่มบ้านที่เห็นช่วงการหดตัวที่น้อยลงชัดเจน ขณะที่ฝั่ง consumer staple ยังค่อนข้างใกล้เคียงเดิม ยกเว้น BJC ในมุม y-y 2Q25 soft ลงจาก 1Q25 จากช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. 2025 ที่กดลงมา คาดแนวโน้ม momentum SSSG 3Q25 น่าจะเห็นการลดลง y-y ที่ชะลอลง จากแรงกดดันฝนตก y-y ที่จะหายไป เหลือแค่เรื่องแนวโน้มกำลังซื้อในมุม y-y ภาพรวมจึงมองว่าไม่น่าจะเห็น SSSG ที่ลดลงลึกเหมือนช่วงเดือน เม.ย.-พ.ค. ที่ทำให้มีการ de-rated P/E ลงมา Top pick ยังเป็น CPALL และ CRC
(0) กลุ่ม ICT บอร์ด กสทช. มีมติทั้ง 7 เสียง เลื่อนการพิจารณารับรองผลประมูลจาก 29 มิ.ย. เป็น 6 ก.ค. 2025 เนื่องจาก กสทช. ส่งเอกสารประกอบการพิจารณาผลประมูลล่าช้า จึงไม่มีเวลาพิจารณาได้ทัน โดยมีการ mention ว่ากรรมการบางท่านยังอยากให้รวบรวมข้อร้องเรียนจากประชาชนด้วย ประเมินเป็น sentiment ลบต่อราคาหุ้นระยะสั้น ๆ แต่คาดว่าน่าจะไม่มีผลกระทบต่อการประมูลที่เสร็จสิ้นแล้ว
(-) กลุ่มหมู: ราคาหมูไทยวันที่ 1 ก.ค. ปรับลงอีก 2 บาท w-w เป็น 78.5 บาท/กก. ต่ำกว่า 80 บาทเป็นครั้งแรกในรอบ 4 เดือน อ้างอิงข้อมูลจากกรมการค้าภายใน สำหรับราคาหมูเวียดนามสัปดาห์นี้เริ่มปรับลงเช่นกัน ล่าสุดเฉลี่ยขยับลงมาอยู่ที่ 66,000–68,000 ด่อง/กก. จากวีคก่อนที่ 68,000–70,000 ด่อง/กก. จาก demand ที่ลดลงเป็นหลัก ขณะที่ราคาหมูจีนกลับมาปรับขึ้น ล่าสุดทะลุ 15.02 หยวน/กก. +4% w-w, +4% m-m สูงสุดในรอบ 5 เดือน จากราคาเนื้อสัตว์ที่ปรับลดลง ทำให้ catalyst เชิงบวกต่อกลุ่มเนื้อสัตว์โดยเฉพาะกลุ่มหมูหายไป เราแนะนำเพียงรอเก็งกำไร หากราคาเนื้อสัตว์ปรับขึ้นอีกครั้ง รวมถึงติดตามผลการเจรจาการค้ากับสหรัฐ
(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 10.52 จุด หรือ -0.02%, ปิดที่ 44,484.42 จุด หลังมีรายงานว่าตัวเลขจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ ปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี ซึ่งทำให้นักลงทุนวิตกกังวลเกี่ยวกับแนวโน้มเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามดัชนี S&P500 และ Nasdaq ปิดที่ระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ โดยได้ปัจจัยหนุนจากแรงซื้อหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและข่าวการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างเวียดนามและสหรัฐฯ
(-) ตลาดหุ้นยุโรป ปิดลดลงเล็กน้อย โดยหุ้นกลุ่มอุตสาหกรรมและธนาคารถ่วงตลาดลงมากที่สุด ขณะที่นักลงทุนยังคงประเมินความไม่แน่นอนเกี่ยวกับข้อตกลงทางการค้ากับสหรัฐฯ ขณะที่เส้นตายการเก็บภาษีในเดือน ก.ค. กำลังใกล้เข้ามา รวมถึงการหารือเกี่ยวกับร่างกฎหมายภาษีของสหรัฐฯ
(0) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวกสลับลบ หลังสหรัฐฯบรรลุข้อตกลงการค้ากับเวียดนาม
(+) ค่าเงินบาทแข็งค่า อยู่ที่บริเวณ 32.37 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ -0.33%
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 2 ดอลลาร์ หรือ 3.06% ปิดที่ 67.45 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากข่าวอิหร่านประกาศระงับความร่วมมือกับทบวงการพลังงานปรมาณูระหว่างประเทศ (IAEA) รวมทั้งการบรรลุข้อตกลงการค้าระหว่างเวียดนามและสหรัฐฯ อย่างไรก็ดี ราคาน้ำมันลดช่วงบวกหลังสหรัฐฯ เปิดเผยสต็อกน้ำมันดิบเพิ่มขึ้นสวนทางกับการคาดการณ์ ขณะนี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 67.33 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.18%
(+) ราคาทองคำ COMEX เพิ่มขึ้น 9.90 ดอลลาร์ หรือ 0.30% ปิดที่ 3,359.70 ดอลลาร์/ออนซ์ หลังมีรายงานว่าตัวเลขจ้างงานของภาคเอกชนสหรัฐฯ ปรับตัวลงเป็นครั้งแรกในรอบกว่า 2 ปี ซึ่งทำให้นักลงทุนมีความหวังว่าการชะลอตัวของการจ้างงานอาจเป็นปัจจัยสนับสนุนให้ธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการเปิดเผยตัวเลขจ้างงานนอกภาคเกษตรของสหรัฐฯ ในวันนี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ทิศทางนโยบายการเงินของเฟด ขณะนี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 3,358.20 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ -0.04%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 947.66 / -0.06%
ปัจจัยที่ต้องติดตาม
3 ก.ค. | สหรัฐ: Non-Farm Payrolls (มิ.ย.), นำเข้า/ส่งออก (พ.ค.), ISM Manufacturing PMI (มิ.ย.) |
7 ก.ค. | ไทย: เงินเฟ้อ (พ.ค.) |
9 ก.ค. | จีน: เงินเฟ้อ (พ.ค.) สหรัฐ: FOMC Minutes |
10 ก.ค. | สหรัฐ: Initial Jobless Claim (มิ.ย./28) |
11 ก.ค. | จีน: ยอดขายรถยนต์ (มิ.ย.) |