สหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีไทยที่ 36% กดดันตลาดหุ้นไทย

Market Update

ตลาดหุ้น Dow Jones เมื่อคืนปิดลบ 422 จุด (-0.9%) หลังจากประธานาธิบดีสหรัฐฯ ประกาศเก็บภาษีศุลกากรกับประเทศคู่ค้า รวมไปถึงการปรับลงของหุ้น TESLA ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 1.9% ได้แรงหนุนจากอุปสงค์ที่แข็งแกร่งในสหรัฐฯ

Market Outlook

เมื่อคืนที่ผ่านมาทรัมป์ได้เริ่มส่งจดหมายหาแต่ละประเทศเกี่ยวกับการเก็บภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ พบว่าประกอบไปด้วย 14 ประเทศและไทยเป็นหนึ่งในนั้น โดยไทยถูกเรียกเก็บภาษีในอัตรา 36% ไม่เปลี่ยนแปลงจากเดิม และไทยนั้นถือว่าอัตราภาษีนำเข้าสูงกว่าหลายๆ ประเทศ (ลาว 40% พม่า 40% กัมพูชา 36%) ที่เหลือต่ำกว่าประเทศไทยทั้งสิ้น

ทางทรัมป์ระบุในจดหมายว่าสหรัฐฯ นั้นได้หารือเกี่ยวกับความสัมพันธ์กับไทยมาเป็นเวลาหลายปีและได้ข้อสรุปว่าเราจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลงจากโครงสร้างที่ก่อให้เกิดปัญหาขาดดุลการค้าอย่างต่อเนื่อง ซึ่งพบว่าเป็นความสัมพันธ์ที่ไม่เกื้อหนุนกันและกัน ดังนั้นตั้งแต่วันที่ 1 ส.ค. เป็นต้นไป สหรัฐฯ จะเรียกเก็บภาษีนำเข้ากับไทยในอัตรา 36% สำหรับสินค้าทุกประเภทที่ส่งเข้าสหรัฐฯ และโปรดเข้าใจว่าระดับ 36% ยังต่ำกว่าระดับที่จำเป็นต่อการลดช่องว่างของปัญหาขาดดุลการค้าระหว่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตาม หากบริษัทจากไทยตัดสินใจย้ายฐานผลิตหรือสร้างโรงงานในสหรัฐฯ จะไม่มีการเรียกเก็บภาษีและจะอนุมัติเรื่องต่างๆ อย่างรวดเร็ว แต่หากประเทศไทยตัดสินใจตอบโต้ด้วยภาษี สหรัฐฯ ก็จำเป็นจะต้องปรับเพิ่มภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น และพวกเราหวังเป็นอย่างยิ่งว่าจะได้ร่วมมือกับไทยในฐานะพันธมิตรทางการค้าไปอีกหลายปีข้างหน้า

อัตราภาษีที่กำหนดไว้นี้สามารถปรับขึ้นหรือลงได้ ขึ้นอยู่กับลักษณะความสัมพันธ์ระหว่างประเทศของเรา จากข้อความข้างต้นบ่งชี้ว่ายังสามารถจะเจรจากับสหรัฐฯ ได้ แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นกับข้อเสนอที่ทางไทยยื่นให้กับสหรัฐฯ ซึ่งล่าสุดวานนี้ทางรัฐบาลได้เสนอภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ ในบางชนิดที่ระดับ 0% ก็คงต้องรอติดตามว่าจากนี้ทางรัฐบาลไทยจะดำเนินการเจรจาอย่างไร แต่ระยะสั้นเชื่อว่าตลาดหุ้นมีโอกาสปรับลงและจะกระทบกับนิคมอุตสาหกรรมกับกลุ่มส่งออก แต่ SET INDEX ที่ 1xPBV น่าจะเป็นแนวรับที่แข็งแกร่ง (1,060 จุด) คืนนี้ไม่มีปัจจัยที่ต้องติดตาม ติดตามเพียงความคืบหน้าของรัฐบาลต่อท่าทีการเจรจาการค้ากับสหรัฐฯ

วันนี้ประเมิน SET INDEX เสี่ยงปรับฐานในกรอบ 1050 – 1120 ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนระยะสั้นอาจเลือก Wait & See เพราะอาจเผชิญกับแรง Panic Sell แต่อย่างไรก็ตามจะเป็นโอกาสให้กับนักลงทุนระยะกลาง – ยาวในการสะสมหุ้นที่อาจไม่มีผลกับสงครามการค้าหรือผลกระทบมีผลไม่มากนัก ประกอบไปด้วยกลุ่มโรงพยาบาล (BDMS) กลุ่มที่อิงต่างประเทศ (MINT) ค้าปลีก (BJC CPALL) Non Bank (MTC SAWAD TIDLOR) ธนาคารพาณิชย์ (BBL KBANK KTB SCB)

หุ้นแนะนำซื้อวันนี้

BDMS (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 26.00 บาท)

คาดการณ์รายได้ปี 2025 ที่เติบโตในอัตราลดลง (-2%) โดยในปี 2025 ประกาศกำไรสุทธิที่ 4.3 พันล้านบาท (-7% YoY) ทรงตัวจากไตรมาสก่อน มาจาก 1) รายได้รับรู้จากโรงพยาบาลและเตียงผู้ป่วยใหม่ 2) การเติบโตของผู้ป่วยต่างชาติ โดยเฉพาะในกลุ่มตะวันออกกลาง (+22% YoY) และ CLMV (+11% YoY) ขณะที่ใน 2Q25 เรามองว่าผลประกอบการจะเติบโต YoY แม้อ่อนตัว QoQ จาก 1) ปัจจัยฤดูกาล และ 2) จำนวนผู้ป่วยต่างชาติชะลอตัวในเดือนเมษายน ซึ่งส่วนหนึ่งเป็นผลกระทบระยะสั้นจากเหตุแผ่นดินไหว ทั้งนี้เราคาดสามารถชดเชยจากการฟื้นตัวในเดือนพฤษภาคม (+6% YoY)

MINT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท)

2Q25 กำไรปกติจะเติบโตสูง QoQ และมีโอกาสเติบโต YoY หนุนจาก 1) แนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรม ด้วยยอดการจองล่วงหน้าตั้งแต่เดือนเมษายนอยู่ในระดับที่ดี โดยเฉพาะในโซนยุโรปที่กำลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หนุน RevPar ปรับตัวสูงขึ้น 2) โรงแรมในประเทศไทยได้รับอานิสงส์จากช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้ทั้งอัตราการเข้าพัก (Occupancy) และ RevPar อยู่ในเกณฑ์ที่ดี 3) คาดรายได้ธุรกิจร้านอาหารจะฟื้นกลับมาทรงตัว YoY ด้วยยอดขายไอศกรีมมะม่วง เมนูฤดูกาลยอดนิยม ที่เริ่มเปิดการขายจาก 1Q25 มาใน 2Q25 เนื่องจากสภาพอากาศต้นปีที่หนาวยาวนานกว่าปีก่อน

 

- Advertisement -