Daily Focus: ทรัมป์ส่งจดหมายให้ไทย เลขที่ออก 36%!
ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลงในช่วงเช้า จากความไม่แน่นอนของการเจรจาการค้าระหว่างไทย-สหรัฐฯ อย่างไรก็ตามมีแรงซื้อเข้ามาในช่วงบ่าย หนุนให้ดัชนีฟื้นตัวและพลิกมาปิดบวก 3.06 จุด ที่ระดับ 1,123 จุด ขณะที่มูลค่าการซื้อขายหนาแน่นขึ้นเล็กน้อย 31,400 ลบ.กลุ่มที่หนุนตลาด ได้แก่ สื่อสารฯ ค้าปลีก ท่องเที่ยว ธนาคาร เป็นต้น สถาบันในประเทศพลิกมาขายสุทธิในตลาดหุ้น 1,100 ลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิ 574 ลบ. (และ Long Index Futures สุทธิอีกเล็กน้อย 2.7 พันสัญญา)
แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET Index จะปรับตัวในแดนลบ เข้าหากรอบ 1,100-1,115 จุด โดยมีประเด็นกดดันหลังทรัมป์ส่งจดหมายถึงประเทศไทย ยืนยันเดินหน้าเก็บภาษี 36% เริ่มวันที่ 1 ส.ค. นี้ ซึ่งตอกย้ำความไม่แน่นอนของความสำเร็จในการเจรจาการค้า ระหว่างไทย-สหรัฐฯ ในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมา
เราประเมินกลุ่มส่งออก เช่น อิเล็กทรอนิกส์ อาหาร เกษตร นิคมฯ จะเผชิญแรงขายระยะสั้น โดยปัจจัยสำคัญที่ต้องติดตามคือรัฐบาลจะมีการส่งข้อเสนอการค้าเพิ่มเติมต่อสหรัฐฯ อย่างไรในช่วง 3 สัปดาห์ข้างหน้าก่อนที่อัตราภาษี 36% จะเริ่มมีผล โดยกรณีแย่ที่สุด หากไม่สามารถปรับลดอัตราภาษีลงได้ จะส่งผลให้ประมาณการ GDP ไทยปีนี้ ตลาดคาดการณ์บริเวณ +2% y-y รวมถึง EPS ตลาดที่ 89.5 นั้นมี Downside
เรามองว่าหุ้นในกลุ่ม Domestic และ Defensive เช่น ค้าปลีก การแพทย์ อาหารพร้อมทาน โรงไฟฟ้า จะปรับตัวได้แข็งแรงกว่าตลาด นอกจากนี้ตัวเลขเงินเฟ้อเดือน มิ.ย. ที่ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย ยังหนุนให้ ธปท. มีโอกาสลดดอกเบี้ยต่อเนื่องในช่วง 2H25 (โดยเฉพาะหากอัตราภาษีสูงกว่าที่คาดที่ 18%) ด้านปัจจัยการเมือง ติดตามพัฒนาการเรื่องการถอนวาระพิจารณา Entertainment Complex ออก แต่มีแนวโน้มถูกแทนที่ด้วย พ.ร.บ.นิรโทษกรรม
กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและมีแนวโน้มผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง
หุ้นเด่นเดือน ก.ค. : ITC, KCE, NEO, OSP, SCGP
FSSIA Portfolio : BA, CENTEL, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, PR9, STECON
หุ้นเด่น Finansia 8 ก.ค. 25 : CPALL
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 65 บาท
- คาดกำไร 2Q25 ยังเติบโตแข็งแกร่งที่ 6.9 พันลบ. –4% q-q แต่ยัง +12% y-y โดยแม้รายได้จะเติบโตไม่ได้สุงมากนักที่ +1.4% q-q, +3.4% y-y แต่ยังคงได้แรงหนุนจาก Margin ที่ยังแข็งแกร่งจากสินค้าอาหารและเครื่องดื่มพร้อมทานที่เติบโตดี
- เรามองธุรกิจของ CPALL มีความยืดหยุ่นสูงท่ามกลางภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัวเนื่องจากเป็นสินค้าจำเป็น และกระทบจำกัดจากประเด็นความเสี่ยงภายนอกโดยเฉพาะภาษีการค้าสหรัฐฯ เราคาดกำไรปี 2025-27 +9.4% CAGR
- แนวรับ 45//43.25 บาท แนวต้าน 46.25-46.75//49 บาท
Fund Flow วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติผสมผสาน สุทธิแล้วไหลออกจากภูมิภาค US$198 ล้าน เม็ดเงินไหลออกจากไต้หวัน US$210 ล้าน แต่ไหลเข้าเกาหลีใต้เล็กน้อย US$29 ล้าน ขณะที่ฝั่งอาเซียน เม็ดเงินไหลออกจากไทย แต่ไหลเข้าอินโดนีเซีย แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่าจะไหลออกเร่งตัวขึ้นหลังทรัมป์เริ่มส่งจดหมายให้กับประเทศคู่ค้าในระดับสูง ใกล้เคียงกับที่เคยประกาศ 2 เม.ย.
ประเด็นสำคัญวันนี้
(-) กลุ่มอาหาร/อิเล็ก: US ประกาศภาษีนำเข้าสินค้าจากไทย 36% เริ่มเก็บ 1 ส.ค. SET50 Index Future
- กลุ่มอาหารที่มีการส่งออกไป US นำโดย AAI (67%), ITC (50%), ASIAN (50%), TU (20%)
สิ่งที่ไม่ดีคือ คู่แข่งอาหารสัตว์เลี้ยงอย่างเวียดนามมีอัตราภาษี 20% ต่ำกว่าไทย - กลุ่มเครื่องดื่ม – PLUS (44%), COCOCO (24%), MALEE, SAPPE (7%)
- กลุ่มเกษตร – กลุ่ม STA มีสัดส่วนรายได้ US 13% มาจากธุรกิจยาง 7% และถุงมือยาง STGT 18%
- กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ – DELTA (30%), HANA (26%), KCE (21%)
นอกจากถูกเก็บในอัตราสูง 36% แล้ว คู่แข่งสินค้า Semiconductor อย่างมาเลเซียถูกเก็บภาษีในอัตรา 25% ต่ำกว่าไทย เป็นลบต่อการแข่งขันของไทย - กลุ่มเนื้อสัตว์ – CPF, BTG, TFG และ GFPT ไม่มีการส่งออกไปสหรัฐฯ จะมีเพียง CPF ที่ส่งไป
น้อยมากเพียง 0.3% แต่ยังมีความเสี่ยงหากไทยต่อรองลดภาษีสหรัฐฯ ด้วยการนำเข้าเนื้อหมู
จากสหรัฐฯ เป็นการแลกเปลี่ยน จะเป็นลบต่อกลุ่มเนื้อสัตว์
ต้องจับตาการเจรจาของไทยในอีก 3 สัปดาห์ที่เหลือ หากไม่สำเร็จจะเป็นลบต่อผู้ส่งออกอย่างมาก โดยต้องเร่งเจรจากับคู่ค้าในสหรัฐฯ และเชื่อว่าผู้ส่งออกไทยจะถูกต่อรองให้ช่วยรับผิดชอบภาระภาษีบางส่วนด้วย นอกจากนี้ยังมีความเสี่ยงที่ไทยอาจโดนเพิ่มภาษีอีก 10% กรณีเข้าร่วมกลุ่ม BRICS แต่ประเด็นนี้ยังไม่ชัดเจน ต้องติดตามต่อไป
(+) CPAXT คาดกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 2.3 พันลบ. -12% q-q จากปัจจัยฤดูกาล แต่ +6.5% y-y จากรายได้ที่เพิ่มขึ้น +2.5% y-y หนุนจากการเปิดสาขาใหม่และธุรกิจต่างประเทศ ขณะที่ SSSG ของค้าส่งและค้าปลีกทรงตัว y-y หากกำไร 2Q25 ตามคาด จะทำให้กำไร 1H25 คิดเป็น 43% ของประมาณการกำไรสุทธิทั้งปี 2025 และอาจมี downside ราว 5% จากประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 ของเราที่ 1.15 หมื่นลบ. +20% y-y และคงราคาเป้าหมาย 23 บาท “ซื้อเมื่ออ่อนตัว”
(0) JPARK คาดกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 21 ลบ. -% q-q, -18% y-y แม้คาดรายได้จากธุรกิจ PS เพิ่มขึ้นตามปริมาณการจอดรถในโครงการอาคารที่จอดรถที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง แต่รายได้ธุรกิจ PMS หรือค่าบริหารที่จอดรถทรงตัว ตามจำนวนช่องจอดรถทั้งหมดยังเท่าเดิมที่ 4 หมื่นช่องจอด ณ สิ้น 2Q25 และธุรกิจ CIPS มีรับรู้รายได้จากโครงการรับเหมาน้อยลงทั้ง q-q, y-y ล่าสุดบริษัทชนะประมูลงานโครงการบริการที่จอดรถ (PS) ในโรงพยาบาลศิริราช 3,000 ช่องจอด คาดรับรู้รายได้ภายในปีนี้ และจะเริ่มรับรายได้บางส่วนจากธุรกิจ CIPS ของโครงการ
รับเหมาติดตั้งระบบที่จอดของรฟม. มูลค่างานราว 100 ลบ. ที่ชนะประมูลในช่วง 2Q25 และคงราคาเป้าหมาย 6.80 บาท แนะนำ “ถือ”
(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 422.17 จุด หรือ -0.94%, ปิดที่ 44,406.36 จุด ปิดร่วงลงกว่า 400 จุด หลังจากประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศอัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บจากสินค้านำเข้าของประเทศคู่ค้า ซึ่งรวมถึงญี่ปุ่น และเกาหลีใต้ นอกจากนี้ตลาดยังถูกกดดันจากการร่วงลงของหุ้นเทสลา (Tesla)
(+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและกลุ่มธนาคาร ขณะที่นักลงทุนจับตาความเคลื่อนไหวด้านการค้าก่อนถึงกำหนดเส้นตายการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีสหรัฐ โดนัลด์ ทรัมป์
(+) ตลาดหุ้นเอเชีย เปิดบวกเป็นส่วนใหญ่ หลังโดนัลด์ ทรัมป์ ส่งจดหมายระบุอัตราภาษีศุลกากรที่สหรัฐฯ จะเรียกเก็บกับประเทศคู่ค้าในภูมิภาคในวันที่ 1 สิงหาคม
(-) ค่าเงินบาทอ่อนค่า อยู่ที่บริเวณ 32.63 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ -0.79%
(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 93 เซนต์ หรือ 1.39% ปิดที่ 67.93 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากรายงานที่บ่งชี้ถึงอุปสงค์น้ำมันที่แข็งแกร่งในสหรัฐฯ ซึ่งช่วยบดบังปัจจัยลบจากการที่กลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน (โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส มีมติปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันที่สูงเกินคาดในเดือน ส.ค. รวมทั้งความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของมาตรการภาษีศุลกากร ขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 67.80 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.19%
(-) ราคาทองคำ NYMEX ลดลง 10 เซนต์ หรือ 0.003% ปิดที่ 3,342.80 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์ อย่างไรก็ดี ความกังวลเกี่ยวกับมาตรการภาษีศุลกากรของสหรัฐฯ ยังคงเป็นปัจจัยหนุนแรงซื้อทองคำในฐานะสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ขณะที่เช้านี้เพิ่มขึ้นอยู่ที่ระดับ 3,344.40 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ +0.05%
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 947.66 / –