Daily Focus: SET เคลื่อนไหวกรอบจำกัด // เน้นเก็งงบ 2Q25

2025 SET Target : 1180

ตลาดหุ้นวันนี้ : SET Index ปรับตัวลดลงตามคาดจากแรงกดดันหลังทรัมป์ส่งจดหมายเตรียมเก็บภาษีสินค้าไทย 36% วันที่ 1 ส.ค. โดยดัชนีปิดลบ 7.35 จุด ที่ระดับ 1,115.65 จุด ด้วยมูลค่าการซื้อ 3 หมื่นลบ. สถาบันในประเทศขายสุทธิในตลาดหุ้นต่อเนื่องอีก 1.7 พันลบ. ขณะที่นักลงทุนต่างชาติพลิกมาซื้อสุทธิบางๆ 162 ลบ. (แต่พลิกมา Short Index Futures สุทธิ 9.6 พันสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาดว่า SET Index จะแกว่ง Sideways ในกรอบ 1,110-1,120 จุด โดยภาพรวมยังไม่มีปัจจัยใหม่เข้ามาหนุน ตลาดยังจับตาดูพัฒนาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศต่างๆ รวมถึงไทย ก่อนถึง Deadline 1 ส.ค. ล่าสุดทรัมป์ยืนยันว่าจะไม่ขยายเส้นตายออกไปอีก และขู่เก็บภาษีทองแดง 50% และการนำเข้ายา 200% ขณะที่ท่าทีของญี่ปุ่นมีแนวโน้มไม่ยอมประนีประนอมกับทรัมป์ง่ายนัก ทำให้ปัจจัยเรื่องภาษีการค้ายังคง Overhang ตลาดอย่างต่อเนื่องจนกว่าจะมีพัฒนาการเชิงบวกเพิ่มเติม กรณีแย่ที่สุดหากไทยไม่สามารถปรับลดอัตราภาษีลงได้ จะส่งผลให้ประมาณการ GDP ไทยปีนี้อาจโตต่ำเพียง +1% หรือน้อยกว่า ขณะที่ EPS มีโอกาสถูกปรับลงจาก 89.5 บาทในปัจจุบันเหลือ 80-84 บาท ด้านปัจจัยในประเทศล่าสุด ครม. มีมติถอนร่างกฎหมาย Entertainment Complex ออกจากการพิจารณาในสภา แต่จะผลักดันกฎหมายนิรโทษกรรมแทน โดยภาพรวมคาดดัชนียังเคลื่อนไหวจำกัด ระยะสั้นเราแนะนำเก็งกำไรกลุ่มส่งออกช่วงปรับลงแรงจากความคาดหวังว่าในที่สุดไทยจะสามารถเจรจากับสหรัฐฯ และปรับลดอัตราภาษีลงได้ ขณะที่กลุ่ม Domestic และ Defensive Play คาดว่าจะเคลื่อนไหวได้แข็งแรงกว่าตลาด โดยเฉพาะหุ้นที่มีแนวโน้มกำไร 2Q25-2H25 แข็งแกร่ง ซึ่งปัจจุบันอยู่ในช่วงเริ่มทยอย Preview ผลประกอบการ

กลยุทธ์ : เลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและมีแนวโน้มผลการดำเนินงานแข็งแกร่ง

หุ้นเด่นเดือน ก.ค. : ITC, KCE, NEO, OSP, SCGP

FSSIA Portfolio : BA, CENTEL, CPALL, KBANK, MTC, NSL, OSP, PR9, STECON

หุ้นเด่น Finansia 9 ก.ค. 25 : NEO

  • แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 49.50 บาท
  • เบื้องต้นเราประเมินกำไร 2Q25 จะยังทรงตัว q-q และ y-y ได้ แม้จะยังมีแรงกดดันจากต้นทุน CPO และ  CPKO ที่อยู่ในระดับสูง แต่ชดเชยได้จากรายได้ที่คาดว่าจะเติบโตแข็งแกร่ง 
  • ธุรกิจมีความเสี่ยงต่ำจากผลกระทบของภาษีทรัมป์ เนื่องจากส่วนใหญ๋ขายในประเทศและส่งออกในภูมิภาคบ้าง ขณะที่ตัวสินค้าเป็นสินค้าจำเป็น ราคาหุ้นมี Downside จำกัด โดยเทรด PER เพียง 8 เท่าและคาดให้ Dividend Yield 5% ต่อปี
  • แนวรับ 25.25-25//24 บาท แนวต้าน 27//28 บาท 

Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนต่างชาติยังคงผสมผสาน สุทธิแล้วไหลเข้าภูมิภาค US$182 ล้าน นำโดยเกาหลีใต้ US$206 ล้าน ตามด้วยไต้หวันที่ไหลเข้าบางๆ US$35 ล้าน ขณะที่ฝั่งอาเซียนเม็ดเงินไหลเข้าไทยเล็กน้อย US$5 ล้าน แต่ไหลออกจากอินโดนีเซีย US$60 ล้าน แนวโน้มกระแสเงินทุนคาดว่ายังผสมผสานและไม่หนาแน่นนัก โดยนักลงทุนยังรอติดตามพัฒนาการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้าต่างๆ ก่อนถึง Deadline 1 ส.ค.

ประเด็นสำคัญวันนี้

(-) กลุ่มท่องเที่ยว: ตัวเลขนักท่องเที่ยวในสัปดาห์ที่ผ่านมา มีจำนวน 569,051 คน เฉลี่ย 8.13 หมื่นคน/วัน ทรงตัว w-w, -19% y-y ยังคงลดลง y-y เป็นสัปดาห์ที่ 22 เนื่องจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจากมาเลเซียลดลงหลังผ่านพ้นช่วงวันหยุดเทศกาล และจากอินเดียที่ลดลงต่อเนื่อง ขณะที่นักท่องเที่ยวจากจีน และกลุ่มตลาดต้นทางระยะไกลยังเติบโตได้ดี นักท่องเที่ยวชาวจีนยังคงเดินทางเข้ามาเพิ่มขึ้นจากสัปดาห์ก่อน +11% w-w, -40% y-y เป็นเฉลี่ย 1.28 หมื่นคน/วัน ส่วนกลุ่ม Non-Chinese -2% w-w และ -14% y-y เป็นเฉลี่ย 6.85 หมื่นคน/วัน จำนวนนักท่องเที่ยวสะสม 1 ม.ค. – 6 ก.ค. มีทั้งสิ้น 17.18 ล้านคน คิดเป็น 49% ของเป้าทั้งปีของเราที่คาดการณ์ไว้ 34.9 ล้านคน สร้างรายได้ให้ประเทศ 7.95 แสนลบ. คาดแนวโน้มสัปดาห์หน้าจะมีนักท่องเที่ยวทรงตัว w-w โดยปัจจัยหนุนยังคงมาจากตลาดจีน ยุโรป และออสเตรเลียเป็นหลัก

(+) KTC เรามีมุมมองเป็นบวกเกี่ยวกับปัจจัยพื้นฐานของ KTC เมื่อพิจารณาจาก ROA ที่คาดว่าจะสูงถึง 6-7% ในปี 2025-27 จากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่มั่นคง พร้อมสินเชื่อที่ค่อย ๆ ขยายตัว รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยที่สูงขึ้นโดยเฉพาะรายได้จากหนี้เสียรับคืน งบดุลที่ดี พร้อมโอกาสในการรักษา Credit cost ไว้ในระดับต่ำ และส่วนแบ่งตลาดที่สูงขึ้นโดยเฉพาะในธุรกิจบัตรเครดิต คาดกำไรสุทธิ 2Q25 อยู่ที่ 1.91 พันลบ. +3% q-q, 5% y-y สินเชื่อน่าจะเติบโต 2.3% y-y และการใช้จ่ายผ่านบัตรเครดิตเพิ่มขึ้น 6.3% y-y NPL คาดอยู่ที่ 1.93% เราเชื่อว่าราคาหุ้นที่ปรับลงแรงในช่วงที่ผ่านมาไม่ได้เกิดจากปัจจัยพื้นฐาน จนปัจจุบันซื้อขายบน 2025E P/E ที่ 8.4x และ P/BV ที่ 1.5x เมื่อเทียบกับ ROE ที่ 16-17% ซึ่งเป็นหนึ่งใน ROE ที่สูงที่สุดในบริษัทการเงินที่ไม่ใช่ธนาคารของไทย เราเชื่อว่าราคาและ P/BV ในปัจจุบันต่ำเกินไปในเชิงปัจจัยพื้นฐาน ที่ราคาเหมาะสม 32 บาท div. yield 5.6% แนะนำ “ซื้อ”

(0) SCGD คาดกำไรสุทธิ 2Q25 ที่ 205 ลบ. -6% q-q, -28% y-y ตามทิศทางยอดขายที่คาด -1% q-q, -10% y-y การชะลอลงของยอดขายถูกกดดันจากในประเทศที่หดตัว q-q, y-y ตามอุตสาหกรรม จากวันหยุดยาว, ความไม่แน่นอนเศรษฐกิจ, อสังหาฯ ซบเซา ขณะที่ตลาดต่างประเทศมีแนวโน้มดีขึ้น q-q ประเด็น Trump’s tariff บริษัทมองว่าไม่ได้รับผลกระทบทางตรง เนื่องจากส่งออกไปสหรัฐฯ น้อยกว่า 1% บริษัทมีแผน M&P โรงงานกระเบื้องและสุขภัณฑ์ที่เวียดนาม เพื่อขยายกำลังผลิต คาดมีความชัดเจนใน 4Q25 หากงบ 2Q25 ตามคาด กำไรปกติ 1H25 จะอยู่ที่ 421 ลบ. -22% y-y คิดเป็น 43% ของประมาณการทั้งปีของเราที่ 973 ลบ. +7% y-y แนวโน้มกำไร 2H25 คาดเพิ่มขึ้น h-h ผลักดันจากการฟื้นตัวของเวียดนามเป็นหลัก แม้ราคาหุ้นปรับลงมาก แต่ระยะสั้นหุ้นยังขาด Catalyst จากแนวโน้มกำไร 2Q25 ไม่สดใสจึงคงคำแนะนำ “ถือ”

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 165.60 จุด หรือ -0.37%, ปิดที่ 44,240.76 จุด โดยตลาดยังคงถูกกดดันจากการที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ประกาศเดินหน้าเรียกเก็บภาษีศุลกากรจากบรรดาประเทศคู่ค้า และล่าสุดปธน.ทรัมป์ยืนยันว่าจะไม่ขยายเส้นตายในการบังคับใช้อัตราภาษีศุลกากรใหม่ที่กำหนดไว้ในวันที่ 1 ส.ค.

(+) ตลาดหุ้นยุโรปปิดบวก โดยได้แรงหนุนจากหุ้นกลุ่มเฮลท์แคร์และกลุ่มพลังงาน ขณะที่นักลงทุนประเมินความเคลื่อนไหวล่าสุดของประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ แห่งสหรัฐฯ เกี่ยวกับมาตรการภาษี ที่รวมถึงเส้นตายใหม่สำหรับการทำข้อตกลงทางการค้า

(0) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดบวกสลับลบ หลังทรัมป์ยืนยันว่าจะไม่ขยายเส้นตายในการบังคับใช้อัตราภาษีศุลกากรใหม่ที่กำหนดไว้ในวันที่ 1 ส.ค.

(+) ค่าเงินบาทแข็งค่าอยู่ที่บริเวณ 32.54 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ หรือ -0.27%

(+) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX เพิ่มขึ้น 40 เซนต์ หรือ 0.59% ปิดที่ 68.33 ดอลลาร์/บาร์เรล โดยได้แรงหนุนจากการคาดการณ์ที่ว่าสหรัฐฯ จะผลิตน้ำมันลดลงในปีนี้ รวมทั้งข่าวที่ว่ากลุ่มฮูตีกลับมาก่อเหตุโจมตีเรือสินค้าในทะเลแดงอีกครั้ง ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 68.05 ดอลลาร์/บาร์เรล หรือ -0.41%

(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 25.90 ดอลลาร์ หรือ 0.77% ปิดที่ 3,316.90 ดอลลาร์/ออนซ์ โดยถูกกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่ปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ มุมมองเชิงบวกเกี่ยวกับการทำข้อตกลงการค้าระหว่างสหรัฐฯ และประเทศคู่ค้า ยังส่งผลให้ความต้องการถือครองสินทรัพย์ปลอดภัยลดน้อยลงด้วย ในขณะที่เช้านี้ลดลงอยู่ที่ระดับ 3,308.00 ดอลลาร์/ออนซ์ หรือ -0.27%

SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 946.51/-0.12%

ปัจจัยที่ต้องติดตำม

9 ก.ค.จีน: เงินเฟ้อ (พ.ค.)

สหรัฐ: FOMC Minutes

10 ก.ค.สหรัฐ: Initial Jobless Claim (มิ.ย./28)
11 ก.ค.จีน: ยอดขายรถยนต์ (มิ.ย.)
12 ก.ค.จีน: ส่งออก (มิ.ย.)
14 ก.ค.จีน: New Yuan Loans (มิ.ย.)
- Advertisement -