รอติดตามความคืบหน้าเจรจาการค้า
Market Update
ตลาดหุ้น Dow Jones คืนวันศุกร์ปิดลบ 279 จุด (-0.6%) ขณะที่หุ้น META ปรับลงกดดัน S&P500 สาเหตุหลักที่ตลาดปรับลง นักลงทุนยังคงกังวลกับสถานการณ์การค้าโลก ด้านราคาน้ำมันดิบ BRT ปิดบวก 2.5% หลังจาก IEA ระบุว่าตลาดน้ำมันโลกตึงตัวมากเกินคาด
Market Outlook
วันศุกร์ที่ผ่านมา สหรัฐฯ มิได้มีตัวเลขเศรษฐกิจที่สำคัญ นักลงทุนจึงให้น้ำหนักกับการเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับนานาประเทศ ข้อมูลล่าสุด Trump ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจากบราซิลเป็น 50% และในช่วงวันเสาร์ที่ผ่านมา ก็ได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้าจาก EU และ Mexico เป็น 30% (เริ่มต้น 1 ส.ค.) โดยระบุว่าแม้ Mexico จะให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับการสกัดกั้นการหลั่งไหลของผู้อพยพผิดกฎหมายและยาเฟนทานิลเข้าสู่สหรัฐฯ แต่ก็ยังไม่เพียงพอ ส่วนกรณีของ EU Trump ระบุว่าการขาดดุลการค้ากับ EU เป็นภัยคุกคามมั่นคงของชาติ ซึ่งอาจกดดันตลาดหุ้นทั่วโลกในช่วงต้นสัปดาห์
โดยสัปดาห์นี้รอติดตามปัจจัยต่างๆ ประกอบไปด้วย (1) เงินเฟ้อสหรัฐฯ (CPI) ในวันอังคาร Bloomberg Consensus คาดการณ์ไว้ที่ 2.6% YoY (2) ดัชนีราคาผู้ผลิตในคืนวันพุธ โดยที่ Bloomberg Consensus คาดไว้ที่ 0.3% MoM (3) ยอดค้าปลีกของสหรัฐฯ ในวันพุธ Bloomberg Consensus ประเมินไว้ที่ 0.2% MoM (4) การเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งในวันศุกร์ที่ผ่านมา ทีม Thailand ได้ประชุมกันเพื่อเตรียมยื่นข้อเสนอให้กับสหรัฐฯ อีกครั้ง
สัปดาห์นี้ประเมิน SET INDEX เคลื่อนไหวในกรอบ 1100 – 1150 ตลาดหุ้นไทยน่าจะยังมี Upside จำกัดจนกว่าจะทราบผลเจรจาการค้าระหว่างไทยกับสหรัฐฯ ซึ่งระดับปัจจุบันที่ไทยเผชิญ 36% ถือว่าสูงกว่าประเทศอื่นๆ และอาจทำให้กระทบทั้งการส่งออกและการย้ายฐานผลิตมา
อย่างไรก็ตาม ในอีกนัยยะหนึ่งอาจทำให้ธนาคารแห่งประเทศไทยหันมาใช้นโยบายการเงินผ่อนคลายมากขึ้น เป็นบวกกับกลุ่มการเงินและหุ้นปันผลสูง ทั้งนี้ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนนักลงทุนอาจเลือกสะสมหุ้นปันผลสูง อาทิ TISCO, SCB, KBANK, BBL ในระหว่างที่รอความชัดเจนจากการค้าที่ไทยกำลังเข้าสู่ช่วงของการเจรจา รวมไปถึงหุ้นขนาดใหญ่ที่เป็นผู้นำอุตสาหกรรมนั้นๆ อาทิ ศูนย์การค้า (CPN) ค้าปลีก (BJC, CRC, CPALL) การเงิน (MTC, SAWAD)
หุ้นแนะนำซื้อวันนี้
CPALL (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 78.00 บาท)
ด้วย Valuation ที่น่าสนใจ ปัจจุบันซื้อขายที่ราว 14x PE 25E ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต พร้อมด้วยผลตอบแทนเงินปันผลคาดหวังระดับ 3% โดยเราคาดรายงานกำไรสุทธิ 2025 ที่ 6.7 พันล้านบาท (+8% YoY, -11% QoQ) หนุนจากอัตรากำไรขั้นต้นที่เพิ่มขึ้น 20 bps YoY แม้คาดว่าการเติบโตของยอดขายสาขาเดิมของ 7-11 จะชะลอตัวเล็กน้อย YoY ที่ 0.5% และอัตราส่วนค่าใช้จ่ายการขายและบริหารต่อยอดขายเพิ่มขึ้น 10 bps YoY เราคาดว่าแนวโน้มกำไร 2H25 จะเติบโต YoY ต่อเนื่อง
MINT (ซื้อ / ราคาเป้าหมาย 36.00 บาท)
2Q25 กำไรปกติจะเติบโตสูง QoQ และมีโอกาสเติบโต YoY หนุนจาก 1) แนวโน้มการฟื้นตัวของธุรกิจโรงแรม ด้วยยอดการจองล่วงหน้าตั้งแต่เดือนเมษายนอยู่ในระดับที่ดี โดยเฉพาะในโซนยุโรปที่กำลังเข้าสู่ช่วงฤดูกาลท่องเที่ยว หนุน RevPar ปรับตัวสูงขึ้น 2) โรงแรมในประเทศไทยได้รับอานิสงส์จากช่วงเทศกาลสงกรานต์ ทำให้ทั้งอัตราการเข้าพัก (Occupancy) และ RevPar อยู่ในเกณฑ์ที่ดี 3) คาดรายได้ธุรกิจร้านอาหารจะฟื้นกลับมาทรงตัว YoY ด้วยยอดขายไอศกรีมมะม่วง เมนูฤดูกาลยอดนิยมที่เลื่อนเปิดการขายจาก 1Q25 มาใน 2Q25 เนื่องจากสภาพอากาศต้นปีที่หนาวยาวนานกว่าปีก่อน