บล.ฟินันเซีย ไซรัส:

TMBTHANACHART BANK (TTB TB)

2Q25 results at first glance

TTB รายงานกำไรสุทธิ 2Q25 อยู่ที่ 5.0 พัน ลบ. (-6.6% y-y, -1.8% q-q) ใกล้เคียงกับที่เราและตลาดคาด

ปัจจัยบวกอยู่ที่รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยสุทธิที่สูงเกินคาด (จากกำไรจากการตีราคาสินทรัพย์ตามราคาตลาดและเงินอุดหนุนจากโครงการคุณสู้เราช่วย (YFWH)) และต้นทุนความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ (Credit cost) ที่ต่ำกว่าคาดที่ 142bp (เราคาด 147bp) อย่างไรก็ดี ปัจจัยบวกดังกล่าวหักกลบกับส่วนต่างดอกเบี้ยที่ต่ำกว่าคาดที่ 3.10% (-7bp q-q) และประโยชน์ทางภาษีที่ลดลงเหลือ -3.9% (จาก -4.5% ใน 1Q25)

คุณภาพสินทรัพย์โดยรวมใกล้เคียงกับที่เราคาดด้วยสัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพที่ 3.25% และอัตราการก่อตัวของหนี้ด้อยคุณภาพที่ 150bp พร้อมแนวโน้มทรงตัว

TTB เหลือประโยชน์ทางภาษีอีก 8.2 พัน ลบ. (คาดว่าจะใช้ได้จนถึงปี 2028) กำไรสุทธิ 6M25 คิดเป็น 48% ของประมาณการกำไรทั้งปีของเรา

เราคงคำแนะนำ “ถือ” ที่ราคาเป้าหมาย 2.05 บาท จากกำไรสุทธิที่คาดว่าจะทรงตัวในปี 2025-26 และผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นที่ 9%

Highlights

  • (-) การเติบโตของสินเชื่ออยู่ที่ -7.0% y-y, -0.4% q-q และ -2.8% YTD ส่วนมากจากสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์และ SMEs ในขณะที่กลุ่มสินเชื่อบ้านแลกเงิน รถแลกเงิน สินเชื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่อขนาดใหญ่โตเล็กน้อย
  • (-) ส่วนต่างดอกเบี้ยอยู่ที่ 3.10% ลดลง 7bp q-q ต้นทุนในการกู้ยืมลดลง 5bp q-q เป็น 1.55% ซึ่งช่วยชดเชยผลตอบแทนที่ลดลง (-12bp q-q) ได้บางส่วน TTB ยังคงกลยุทธ์ในการนำสภาพคล่องเวียนกลับมาใช้ใหม่ เช่น ใช้เงินที่ได้รับชำระคืนจากสินเชื่อที่ให้ผลตอบแทนต่ำเพื่อปล่อยกู้เป็นสินเชื่อใหม่ในกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนสูง เช่น บ้านแลกเงินและรถแลกเงิน ซึ่งอาจช่วยชะลอการลดลงของผลตอบแทนในวัฏจักรอัตราดอกเบี้ยขาลงได้
  • (+) รายได้ที่ไม่ใช่ดอกเบี้ยสุทธิสูงกว่าที่เราคาด โดยสูงขึ้น 14% y-y และ 9% q-q ส่วนมากจากกำไรจากการตีราคาสินทรัพย์เป็นราคาตลาดและรายได้อื่นที่สูงขึ้น ในขณะที่รายได้ค่าธรรมเนียมเพิ่มขึ้น 2% y-y แต่ลดลง 4% q-q จากค่าธรรมเนียมธุรกิจ Bancassurance ค่าธรรมเนียมบริหารสินทรัพย์ และค่าธรรมเนียมสินเชื่อตามการหดตัวของสินเชื่อ
  • (-) สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานต่อรายได้อยู่ที่ 44.4% ส่วนมากจากฐานรายได้ที่ลดลง ทั้งนี้ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสูงขึ้นเพียง 0.8% y-y
  • (0) คุณภาพสินทรัพย์: คุณภาพสินทรัพย์รวมใกล้เคียงกับที่เราคาด สัดส่วนหนี้ด้อยคุณภาพอยู่ที่ 3.25% ใน 2Q25 ทรงตัว q-q
  • (-) การประชุมนักวิเคราะห์: เราได้รับข้อมูลเชิงลบเล็กน้อย เนื่องจากคุณปิติ (ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร) ยังคงท่าทีที่ระมัดระวังอย่างมากต่อแนวโน้มธุรกิจในปี 2025 ซึ่งเราเชื่อว่าอาจทำให้กำไรสุทธิทรงตัวในปี 2025-26 และจำกัดผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นไว้ที่ไม่เกิน 9%

Key takeaways from TTB’s 2Q25 analyst meeting

  • (-) ในภาพรวมเรามีมุมมองเป็นลบเล็กน้อยหลังการประชุม เนื่องจากคุณปิติ (ประธานเจ้าหน้าที่บริหารของ TTB) ยังมีท่าทีที่ระมัดระวังเกี่ยวกับการปล่อยสินเชื่อในภาพรวม ท่ามกลางสภาพเศรษฐกิจที่ไม่แน่นอน และความเป็นไปได้เกี่ยวกับภาษีนำเข้าตอบโต้ของสหรัฐฯ ดังนั้นสำหรับ TTB แล้ว ความสำคัญจึงอยู่ที่การป้องกันหนี้เสียและจำกัดความเสี่ยงต่อต้นทุนความเสี่ยงในการปล่อยสินเชื่อ
  • มีหลายคำถามเกี่ยวกับ YFWH ทิศทางคุณภาพสินทรัพย์และ Credit cost และการบริหารเงินทุน (โครงการซื้อหุ้นคืนและอัตราการจ่ายเงินปันผล)
  • คุณปิติระบุถึงการลดความเสี่ยงของพอร์ตของ TTB อย่างต่อเนื่อง โดยจะคัดเลือกอย่างพิถีพิถันเพียงไม่กี่กลุ่ม เช่น สินเชื่อเพื่อรีไฟแนนซ์บ้าน (ไม่ใช่สินเชื่อที่อยู่อาศัย) สินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ในกรุงเทพฯ และสินเชื่อเพื่อการอุปโภคบริโภคที่มีคุณภาพ ฯลฯ ในทางตรงกันข้าม กลุ่มที่น่ากังวลที่สุดสำหรับคุณปิติ ประกอบด้วยสินเชื่อ SMEs สินเชื่อขนาดใหญ่ โดยเฉพาะอสังหาริมทรัพย์ (จากความกังวลเกี่ยวกับอุปทานที่มีมากเกินไป) และสินเชื่อเพื่อการซื้อขายสินค้าโภคภัณฑ์ (ในฐานะที่เป็นผู้รับราคา ท่ามกลางการค้าขายที่ไม่เป็นธรรมมากยิ่งขึ้นจากสหรัฐฯ)
  • สำหรับ YFWH TTB เปิดเผยว่ามีสินเชื่อประมาณ 31 พัน ลบ. (2.6% ของสินเชื่อรวม) ได้รับการปรับโครงสร้างแล้วเสร็จ ณ สิ้นไตรมาส 2Q25 ครึ่งหนึ่งเป็นสินเชื่อที่อยู่อาศัย ประมาณ 40% เป็นสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ และที่เหลือเป็นสินเชื่อ SME ในด้านการจัดชั้นหนี้ 33% ของสินเชื่อปรับโครงสร้างจำนวน 31 พัน ลบ. ถูกจัดอยู่ในขั้นที่ 1, 50% อยู่ในขั้นที่ 2 และ 17% อยู่ในขั้นที่ 3 สำหรับในไตรมาส 2Q25 TTB เปิดเผยว่าผลกระทบจากการยกเว้นดอกเบี้ยอยู่ที่ประมาณ 10bp หรือ 300 ลบ. ของรายได้ดอกเบี้ย ในขณะที่ผลบวกจากเงินอุดหนุนอยู่ที่ 200 ลบ. ในกรณีที่ดีที่สุดที่สินเชื่อได้รับการจัดชั้นในระดับที่ดีขึ้น 20-25% TTB คาดว่าอย่างดีที่สุดผลกระทบต่อธนาคารฯ จะเป็นกลาง โดยธนาคารฯ จะไม่ได้รับผลประโยชน์เชิงบวกสุทธิจาก Credit cost ที่ลดลง ปัจจุบันประมาณ 90% ของสินเชื่อปรับโครงสร้างสามารถชำระคืนได้
  • ในส่วนของ Credit cost ที่ระดับปกติที่ 100bp ใน 2Q25 TTB มองว่าระดับที่ต่ำดังกล่าวได้แรงหนุนจากผลขาดทุนจากการขายรถยนต์ที่ลดลงตามราคารถยนต์มือสองที่สูงขึ้น และผลกระทบจาก YFWH เราเชื่อว่า Credit cost ดังกล่าวจะเป็นระดับที่ต่ำที่สุดของ TTB เนื่องจากเราไม่แน่ใจเกี่ยวกับทิศทางราคารถยนต์มือสอง และการลดความเสี่ยงอย่างต่อเนื่องของ TTB ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา ทั้งนี้เราคิดว่าระดับ Credit cost ปกติน่าจะอยู่ที่ 120bp (+/-) อย่างไรก็ดี Credit cost รวมมี Upside risk จาก Management overlay ที่จัดสรรไว้เพื่อรองรับความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจ จากท่าทีเชิงระมัดระวัง TTB ตั้งเป้าคงสำรองดังกล่าวไว้ให้ได้มากที่สุด โดยจะขึ้นอยู่กับกระแสรายได้
  • เมื่อประโยชน์ทางภาษีหมดไป TTB เชื่อว่าธนาคารฯ จะสามารถรักษากำไรสุทธิไว้ได้โดยใช้ระบบนิเวศของธนาคารฯ สำหรับสินเชื่อรถยนต์ สินเชื่อที่อยู่อาศัย และบัญชีเงินเดือนที่มีรายได้สูง นอกจากนี้ธนาคารฯ ยังตั้งเป้ายกระดับธุรกิจบริหารความมั่งคั่งหลังซื้อกิจการ Thanachart Securities (TNS) ในขณะที่มุ่งปรับการทำงานให้เป็นระบบดิจิทัลเพื่อลดค่าใช้จ่ายในการดำเนินงาน และรักษาการควบคุม Credit cost อย่างระมัดระวัง ทั้งนี้เรามีความสงสัยเกี่ยวกับการสร้างรายได้เมื่อพิจารณาจากพอร์ตที่ลดลงประมาณ 10% ในช่วง 3 ปีที่ผ่านมา
  • ในด้านการบริหารเงินทุนจากการเติบโตของสินเชื่อที่ชะลอตัว ผู้บริหารจึงชอบโครงการซื้อหุ้นคืนมากกว่าการปรับอัตราการจ่ายเงินปันผลขึ้นจาก 60% ทั้งนี้ TTB ได้ให้ความเห็นว่าการซื้อหุ้นคืนอาจเป็นเชิงรุกมากกว่าแผน 3 ปีในปัจจุบัน ซึ่งมีงบรวม 21 พัน ลบ. (7 พัน ลบ. ต่อปีสำหรับในปี 2025/26/27) ณ สิ้นไตรมาส 2025 มูลค่ารวมของหุ้นที่ซื้อคืนอยู่ที่ 3 พัน ลบ. ในขณะที่การซื้อคืนในปีแรกจะสิ้นสุดในวันที่ 1 ส.ค.
  • TTB ยังมุ่งมั่นที่จะบรรลุเป้าหมายผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นที่ 10% จากกำไรและการบริหารเงินทุนที่ดีขึ้น ในขณะที่เราคิดว่าตัวเลขอาจอยู่ที่ไม่เกิน 9% ในปี 2027 จากสมมติฐานกำไร 22 พัน ลบ. ต่อปี เราคาดว่า 2025 จะเป็นอีกปีที่การเติบโตของสินเชื่อติดลบหลังสินเชื่อลดลง 10% จากปี 2022 ถึง 2024 (2025: -2.8% YTD) ซึ่งในที่สุดน่าจะจำกัดรายได้ (ทั้งรายได้ดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม) จากการศึกษาความเป็นไปได้
  • เราคาดว่าสินเชื่อที่หดตัวทุก ๆ 1ppt จะกระทบประมาณการกำไรสุทธิปี 2025 อยู่ 0.7% ในขณะที่ปัจจัยอื่นคงที่
  • ในขณะที่เราคาดว่ากำไรสุทธิจะได้แรงหนุนจากประโยชน์ทางภาษี เราคาดด้วยว่าราคาหุ้นจะได้ปัจจัยหนุนจากแผนการซื้อหุ้นคืนอันมีระยะเวลา 3 ปี ที่ราคาซื้อคืนเฉลี่ย 2.0 บาทในปี 2025
  • เราคงมุมมองของเราที่ว่ากำไรสุทธิน่าจะอยู่ที่ประมาณ 22 พัน ลบ. ในปี 2025-26 ซึ่งหมายถึงกำไรสุทธิที่ทรงตัวและผลตอบแทนต่อส่วนผู้ถือหุ้นที่จำกัดเพียง 9%

 

- Advertisement -