บล.เมย์แบงก์ (ประเทศไทย)
Kiatnakin Phatra Bank (KKP TB)
มุ่งเน้นปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ บริหารเงินทุน
“ซื้อ” ปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 59 บาท คาดจ่ายปันผลสูงและซื้อหุ้นคืนในเดือน ส.ค. 68
เราแนะนำ “ซื้อ” และปรับราคาเป้าหมายขึ้นเป็น 59 บาท (P/BV ปี 68 ที่ 0.76 เท่า, ROE 9.2%) จากเดิม 55 บาท หลังปรับประมาณการกำไรปี 68–69 ขึ้น เพื่อสะท้อนผลขาดทุนจากการขายรถยนต์ที่ลดลง คาดว่ากำไรของธนาคารจะค่อย ๆ ปรับตัวดีขึ้นจากการเติบโตของธุรกิจที่มี ROA สูง (บริหารความมั่งคั่ง) และชะลอการปล่อยสินเชื่อในกลุ่มที่ให้ผลตอบแทนต่ำ ทั้งนี้ จากการหดตัวของสินเชื่อ คาดว่า KKP จะยังคงจ่ายเงินปันผลสูงที่ 4.25 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราผลตอบแทนจากเงินปันผล 8% และเราคาดว่า KKP จะประกาศโครงการซื้อหุ้นคืนมูลค่า 1 พันล้านบาท (คิดเป็น 2.3% ของมูลค่าหลักทรัพย์ทั้งหมด) ในเดือนสิงหาคม 68
รายได้ค่าธรรมเนียมเติบโตชดเชย NII ที่อ่อนแอ ต้นทุนทางการเงินจะลดลงในครึ่งหลังของปี
CEO ตั้งเป้าเพิ่มรายได้ค่าธรรมเนียมจากธุรกิจบริหารความมั่งคั่งและบริหารสินทรัพย์ เพื่อเพิ่ม ROA ในระยะยาว โดยธนาคารมีความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับ Goldman Sachs Asset Management เพื่อขยายการเข้าถึงการลงทุนระดับโลกให้กับลูกค้ากลุ่มมั่งคั่ง คาดว่าต้นทุนทางการเงินจะลดลงต่อเนื่องจากการปรับอัตราดอกเบี้ยของเงินฝากประจำในครึ่งหลังของปี 68 ซึ่งจะช่วยชดเชยรายได้ดอกเบี้ยที่ลดลงจากการหดตัวของสินเชื่อ
KKP ปรับลดเป้าหมาย Credit Cost ปี 68
CEO ได้ปรับลดเป้าหมายต้นทุนความเสี่ยงจากการให้สินเชื่อ (credit cost) ปี 68 (รวมผลขาดทุนจากการขายรถยึด) ลง 40bps เหลือ 1.8–2.0% ของสินเชื่อในปีนี้ (เทียบกับ 1.88% ในครึ่งปีแรก 68) โดยเป้าหมายทางการเงินอื่น ๆ ที่ปรับใหม่ ได้แก่ การเติบโตของสินเชื่อลดลง -5 ถึง -8% (จากเดิม 0%), ส่วนต่างดอกเบี้ยสินเชื่อ (Loan Spread) ที่ 4.5% (จากเดิม 4.8–4.9%), อัตราส่วนหนี้เสีย (NPL) อยู่ที่ 4.3–4.5% (จากเดิม 4.1–4.3%) ขณะที่คุณภาพสินทรัพย์มีแนวโน้มดีขึ้นจากการขาดทุนจากการขายรถยนต์ที่ลดลง ธนาคารยังคงบริหารต้นทุนความเสี่ยงอย่างระมัดระวัง โดยเน้นการเติบโตแบบเลือกสรรในช่วงครึ่งหลังของปี 68 สำหรับโครงการ “คุณสู้ เราช่วย” (“You Fight–We Help”) มีการปรับโครงสร้างหนี้ไปแล้ว 9.5 พันล้านบาท (คิดเป็น 2.7% ของสินเชื่อรวม) ใน 2Q68
ปรับเพิ่มประมาณการกำไรเพื่อสะท้อนคุณภาพสินทรัพย์ที่ดีขึ้น
เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรสุทธิปี 68–69 ขึ้นปีละ 2% หลังจากปรับลดสมมติฐาน credit cost ลง (ดูในรูปที่ 2) โดยเราประเมินผลขาดทุนจากการขายรถยนต์ยึด (LoS) ที่ลดลงเหลือ 2.8 พันล้านบาทในปี 68–69 หลังจากที่ LoS ลดลง 50% YoY เหลือ 1.3 พันล้านบาทในครึ่งปีแรกของปี 68 ทั้งนี้ สต๊อกรถยนต์ของธนาคารลดลง 20% QoQ เหลือ 2,000 คันใน 2Q68 (เทียบกับ 4,600/3,200 คันในปี 66/67) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบ 2 ปี ดังนั้นเราคาดว่า ROE จะอยู่ที่ 8.0–8.9% ในปี 68–69 เทียบกับ 8.1% ในปี 67 หมายเหตุ: KKP ได้จัดประเภทการลงทุนใน KTC (แนะนำ “ซื้อ”, ราคาเป้าหมาย 30 บาท) ไว้เป็นการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมในกำไรเบ็ดเสร็จอื่น ดังนั้น กำไร/ขาดทุนจะไปสะท้อนในกำไรสะสม ไม่กระทบกับงบกำไรขาดทุน