บล.ทิสโก้:

i-Tail Corporation (ITC TB)

บริษัทปรับตัวรองรับภาษีนำเข้าสหรัฐฯ คาดผลประกอบการเริ่มดีขึ้นปีหน้า

สรุปประชุมนักวิเคราะห์ (1/8/25)

บริษัทปรับเป้าหมายรายได้เติบโต จากข้อมูลของภาษีนำเข้าในประเทศสหรัฐอเมริกา (ก่อนที่จะมีการประกาศภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่ 19% มีผลตั้งแต่ 1 ส.ค. 25) โดยคาดการณ์ภาษีนำเข้า ที่ 20% คาด 1) รายได้ปี 2025F คาดเติบโต 3-5% 2) คาดอัตราทำกำไรขั้นต้นจะเป็น 23-25% 3) ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารคาด 10-11% และเงินลงทุนคาด 1.2 พันล้านบาท 4) อัตราภาษีจ่ายรวม Global Minimum Tax คาดที่ 5–6%

  • ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ของไทยที่ประกาศล่าสุด 19% บริษัทมีแผนที่จะ support บางส่วนให้กับลูกค้า เพื่อรักษา volume และลูกค้าจะมีการปรับราคาขายปลีกเพิ่มขึ้นจากต้นทุนภาษีนำเข้าเพิ่มขึ้น โดยภาระส่วนใหญ่ตกอยู่กับผู้บริโภคผ่านการปรับราคาขายปลีก โดยลูกค้ารายใหญ่ได้เริ่มดำเนินการขอปรับราคากับผู้ค้าปลีกแล้ว ซึ่งคาดว่าจะเพิ่มขึ้นประมาณ 6-7% และจะเริ่มมีผลในเดือน ก.ย.นี้ สำหรับราคาขายปลีกที่เพิ่มขึ้น บริษัทอาจจะต้องจับตาเรื่องปริมาณการขายว่าจะมีผลกระทบมากน้อยเพียงใด บริษัทคาดสัดส่วนสินค้า premium จะลดลง จากสินค้า mid priced ที่เพิ่มขึ้น ตั้งเป้าให้กลุ่ม premium มีสัดส่วนรายได้ 47%-50% บริษัทยังมีการเติบโตในกลุ่มผลิตภัณฑ์ private label ที่จะเน้นไปที่ผลิตภัณฑ์พรีเมียม และมองหาลูกค้าใหม่ๆ เพิ่มขึ้นนอกเหนือจากสหรัฐอเมริกา
  • ภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ของไทย เวียดนาม และจีน ซึ่งเป็นผู้ส่งออกอาหารสัตว์เลี้ยงรายใหญ่ โดยไทยมีอัตราภาษีต่ำที่สุดที่ 19% แม้จะมีความเป็นไปได้ที่คำสั่งซื้อจะย้ายจากจีนและเวียดนามมายังไทย แต่ผลกระทบจากเวียดนามอาจไม่มากนักเนื่องจากขนาดตลาดที่เล็กกว่าไทยถึง 8-10 เท่า ส่วนจีนยังไม่สามารถประเมินผลกระทบได้ชัดเจนเนื่องจากอัตราภาษีที่ยังไม่แน่นอนและการเน้นตลาดภายในประเทศของผู้ผลิตจีน
  • ผลการดำเนินงาน 2Q25 เติบโต QoQ ทุกภูมิภาค 1) กลุ่มอเมริกา สัดส่วนรายได้คิดเป็น 58% ของยอดขาย มีการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ทั้ง YoY และ QoQ มาจากลูกค้าใหม่, การเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่, และผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของทั้งแบรนด์ private label และ global brand 2) ยุโรปโดยมีการเติบโต 18.6% QoQ แสดงให้เห็นถึงพัฒนาการในเชิงบวกเช่นกัน 3) ตลาดในเอเชียเติบโต 7.6% QoQ ในขณะที่ตลาดญี่ปุ่นทรงตัวหรือลดลงเล็กน้อย ไต้หวันยังคงเป็นตลาดที่แข็งแกร่งด้วยการเพิ่มลูกค้ารายใหม่ 4 ราย ออสเตรเลียมีแนวโน้มดีโดยมีลูกค้ารายใหม่จากไตรมาสแรกที่ยังคงสั่งซื้อต่อเนื่อง และมีโอกาสได้ลูกค้ารายใหญ่ซึ่งเป็นผู้ค้าปลีกรายใหม่
  • ผลการดำเนินงาน 1H25 กลุ่มอเมริกาเติบโต แต่กลุ่มยุโรปและตลาดในเอเชียลดลง โดยกลุ่มอเมริกามีการออกสินค้าใหม่และมีลูกค้ารายใหม่ ปรับสัดส่วน product mix ของกลุ่มสินค้า mid-price เพิ่มขึ้น ส่งผลให้รายได้เติบโตจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาเฉลี่ยลดลง แต่กลุ่มยุโรปและตลาดในเอเชียยอดขายลดลงทั้งปริมาณและราคาเฉลี่ยลดลง จากสภาพเศรษฐกิจชะลอตัวและผลกระทบของค่าเงิน
  • ในช่วงครึ่งแรกของปี ITC ได้ลูกค้ารายใหม่ 26 ราย การกระจายตัวของลูกค้ารายใหม่เหล่านี้คือ 35% ในอเมริกาเหนือ, 42% ในเอเชีย, และ 15% ในยุโรป นอกจากนี้ยังได้ลูกค้ารายใหม่ในตุรกีเพิ่มขึ้นด้วยการเปิดตัวผลิตภัณฑ์ใหม่ ในช่วงครึ่งปีแรกคิดเป็นมูลค่ารวม 1.6 พันล้านบาท และคาดว่าครึ่งปีหลังจะใกล้เคียงหรือมากกว่าครึ่งปีแรก
  • การควบรวมและซื้อกิจการ (M&A): บริษัทได้เริ่มมีการเจรจาเบื้องต้นกับบริษัท 3 แห่งในอเมริกาเหนือ บริษัทเหล่านี้มีจุดแข็งในธุรกิจแบรนด์และกลุ่มผลิตภัณฑ์ที่ ITC ยังไม่ได้พัฒนาเต็มที่ เช่น ผลิตภัณฑ์ฟรีซดราย (freeze-dried) ซึ่งสอดคล้องกับกลยุทธ์ของ ITC ในการเข้าซื้อกิจการที่ช่วยเสริมการดำเนินงานที่มีอยู่ บริษัทตั้งเป้าเพิ่มรายได้ 500 ล้านเหรียญสหรัฐภายในปี 2030 โดยคาดว่าจะต้องดำเนินการ 2-3 ดีล ซึ่งแต่ละดีลจะมีขนาดใหญ่ โดยตลาดอเมริกาเหนือเป็นเป้าหมายหลักซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 6-6.5 หมื่นล้านเหรียญสหรัฐ อย่างไรก็ตาม ยังไม่น่าจะสามารถปิดดีลได้ภายในปีนี้

ปรับประมาณการใหม่ สะท้อนผลกระทบภาษีนำเข้าของสหรัฐฯ

เราคาดผลประกอบการ 2H25F จะดีกว่าครึ่งปีแรก จากการพัฒนาสินค้าใหม่และลูกค้ารายใหม่ที่คาดเพิ่มขึ้น และคาดอัตราทำกำไรจะอ่อนตัวเทียบกับครึ่งปีแรกจากการช่วย support ลูกค้าจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้น คาดค่าใช้จ่าย consultant fee จะค่อยๆ ลดลงในไตรมาสถัดไป เราปรับประมาณการปี 2025-26F เพิ่มขึ้นจากคาดเดิม 2% และ 4% ตามลำดับ กำไรมาอยู่ที่ 3.05 พันล้านบาท (-15% YoY) และ 3.25 พันล้านบาท (+7% YoY) สะท้อนผลประกอบการครึ่งปีแรก โดยเฉพาะกลุ่มอเมริกาเป็นหลักที่ดีกว่าที่คาด จากการปรับสินค้า product mix ที่เหมาะสม มีรายได้เพิ่มขึ้นจากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาขายเฉลี่ยลดลง สำหรับกลุ่มยุโรปและเอเชียคาดปริมาณและราคาขายเฉลี่ยลดลงจากเศรษฐกิจที่ชะลอตัว

เราคาดปริมาณการส่งออกรวมปี 2025F เพิ่มขึ้น 11% และราคาเฉลี่ยลดลง 7% (จากเดิมคาดปริมาณลดลง และราคาเฉลี่ยทรงตัว) และปี 2026F คาดการณ์แบบอนุรักษนิยมจากเศรษฐกิจชะลอตัว คาดปริมาณการขายเพิ่มขึ้น 5% และราคาขายเฉลี่ยทรงตัว คาดอัตรากำไรขั้นต้นลดลงจากปี 2024F จากแนวโน้มราคาปลาทูน่าที่คาดเพิ่มขึ้นกลับสู่ระดับปกติที่ 1,600$/tons จากการทำ sensitivity การเปลี่ยนแปลงทุกๆ +1% ของต้นทุนปลากระทบกำไรสุทธิ +/- 0.6% (ต้นทุนปลาทูน่าคิดเป็น 18% ของต้นทุนรวม) คาดค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารเพิ่มขึ้นจากโปรเจกต์เทลวินด์ (Tailwind) ซึ่งมุ่งเน้นที่การเร่งการเติบโตในกลุ่มธุรกิจอาหารสัตว์เลี้ยง ปัจจุบันค่าใช้จ่ายส่วนนี้คิดเป็นประมาณ 2.4-2.6% ของค่าใช้จ่ายในการขายและบริหาร และโครงการจะสิ้นสุด 1Q27

เปลี่ยนคำแนะนำเป็น “ถือ” จาก “ขาย” ราคาเป้าหมายใหม่ 14.10 บาท

จากความชัดเจนของ US tariff ที่ประกาศชัดเจนที่ 19% ต่ำกว่าเดิมที่เคยประกาศไว้ 36% และคาดผลประกอบการจะเริ่มดีขึ้นในปี 2026F จากการปรับตัวจากสถานการณ์ดังกล่าวจากจุดแข็งของบริษัทในด้านการพัฒนาสินค้าที่ยืดหยุ่นตอบโจทย์กับลูกค้าในสถานการณ์ปัจจุบัน เราปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็นปี 2026 ที่ 14.10 บาท อ้างอิง PER forward -1SD ที่ 13x ราคาปัจจุบันมี PER26F ที่ 12.9x คาด Dividend Yield 26F ที่ 6.2% สถานะการเงินแข็งแกร่งเป็นเงินสดสุทธิ (net cash)

ความเสี่ยง: เศรษฐกิจโลกที่ชะลอตัว, การเจรจาต่อรองราคาหลังจากต้นทุนของลูกค้าที่สูงขึ้นจากภาษีนำเข้าสหรัฐฯ

 

- Advertisement -