บล.กรุงศรีฯ:
เก่งหลังเกมส์
SET Index เพิ่มขึ้น 17.56 จุด (+1.43%) ปิดที่ระดับ 1,247 จุด มูลค่าการซื้อขาย 5.3 หมื่นล้านบาท (จำนวนหุ้นปรับขึ้น 373 บริษัท, หุ้นปรับลง 113 บริษัท) ดัชนีปรับขึ้นในทิศทางเดียวกับตลาดหุ้นต่างประเทศคาดหวัง FED ลดดอกเบี้ยเร็วหลังตัวเลขตลาดแรงงานสหรัฐอ่อนแอ Sector ปรับขึ้นเด่น คือ ไฟแนนซ์ (MTC, SAWAD, TIDLOR), โรงไฟฟ้า (BGRIM, GPSC, GULF) โรงพยาบาล (BH, BDMS, BCH) และสายการบิน (THAI) ส่วน Sector ที่ปรับลง คือ กลุ่มปิโตรฯ&Conmat (SCC, IVL)
หุ้นที่เคลื่อนไหวโดดเด่น คือ
MTC (+4.05%), SAWAD (+7.14%), TIDLOR (+2.89%) Outperform ต่อเนื่องคาดจะเป็นกลุ่มที่ได้ประโยชน์โดยตรงจากดอกเบี้ยขาลง (rate cut cycle) โดยเฉพาะเมืองไทยนักลงทุนเข้าดักเก็งกำไรก่อนที่ กนง. จะประชุม 13 ส.ค. นี้ คาดลดดอกเบี้ยนโยบายเป็น 1.5% จาก 1.75% ช่วยลดต้นทุนเงินทุนให้กับผู้ประกอบการในกลุ่มไฟแนนซ์
BH (+8.68%), BDMS (+5.19%), BCH (+3.6%) อุตสาหกรรมผ่านจุดต่ำสุดมาแล้วและกำลังเข้าสู่ high season ของธุรกิจในไตรมาส 3 (ฤดูฝน) ราคาหุ้นยัง Laggard หากเทียบกับตลาดรวมโดยเฉพาะ BDMS (เทียบกับจุดต่ำสุดของ SET Index นับแต่วันที่ 23 มิ.ย.2025) SET Index +19% แต่ BDMS ปรับขึ้นเพียง +13%
THAI (+14.29%) บวกต่อแม้ราคาหุ้นจะปรับขึ้นเหนือราคาเป้าหมายของโบรกเกอร์ นักลงทุนมองบวกให้ THAI เป็นหุ้น Big cap มี Market cap แตะ 3 แสนล้านบาทติด 1 ใน 12 หุ้นที่ Market cap สูงสุดของตลาดทำให้มีโอกาสปรับเข้าดัชนีต่างๆ ในระยะ 6-12 เดือนข้างหน้า อาทิ SET50/100, ดัชนี MSCI และ FTSE ตามลำดับ
TU (+7.83%) วันนี้มี Analyst meeting นักวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานของเรามีมุมมองบวก การถือหุ้นเพิ่มของกลุ่ม Mitsubishi จะเป็นบวกกับ TU เนื่องจากเป็นการเข้าลงทุนในฐานะ Strategic partner ช่วยยกระดับความร่วมมือทางธุรกิจและเปิดตลาดใหม่ๆ ให้กับ TU, รวมถึงได้ประโยชน์จาก Network support และ Economic of scales จากความร่วมมือระหว่างกันที่เพิ่มมากขึ้นในอนาคต
SCC (-0.49%) มีจิตวิทยาลบส่วนต่างผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีรายสัปดาห์ปรับลง ล่าสุด HDPE-Naphtha ลดแตะระดับ 322$/ton ลดลง 5.8%w-w ต่ำกว่าระดับ breakeven point ที่ 400$/ton