บล.กรุงศรีฯ:

SCC (U.R. เดิม Neutral; TP175)

มองแม้ระยะสั้นจะมีแรงกดดันต่อแนวโน้มกำไรปกติ 2H25F จาก product spread อยู่ในระดับต่ำ ไม่พอชดเชยต้นทุนผันแปร ส่งให้โรง LSP เปิดผลิตได้เพียง 3 เดือน (วัตถุประสงค์เพื่อ test security) และโรง ROC มีแนวโน้มต้องลด run แต่ SCC ยังสร้าง EBITDA เป็นบวกจากแรงหนุนของสินค้า HVA ที่อัตรากำไรสูงกว่า market spread 100-150$/ton รวมถึงมีสภาพคล่องเพียงพอที่จะอยู่รอดไปถึงช่วง recovery cycle และ project ethane เข้ามาช่วยหนุนโครงการ LSP ในช่วงปี 2027F เป็นต้นไป หนุนให้กำไรมีแนวโน้มกลับมาฟื้นตัวในระยะยาว เรามองผู้มีหุ้นสามารถถือลงทุนระยะยาวได้

Key takeaway from site visit

SCC ได้จัดให้เข้าชมโรงงานของ Nawaplastic (HVA ของ PVC), โรงมาบตาพุดโอเลฟินส์/MOC และ i2p center (ศูนย์นวัตกรรมที่เป็นหัวใจสำคัญของสินค้า HVA) ของ SCC 

– สินค้า HVA ปัจจุบันคิดเป็นราว 60% ของรายได้ SCGC จะเป็นจุดสำคัญที่ช่วยให้ บริษัทสามารถแข่งขันได้ในระยะยาวที่ cost curve มีแนวโน้มลดลงหลังช่วงการ rationalized ของโรงปิโตรเคมีทั่วโลก จากที่สามารถตอบสนองกับความต้องการเฉพาะของลูกค้า (มีมากกว่า 100 ความต้องการเฉพาะตัว เช่น ลดคาร์บอน/ reusable/ เบาแต่ทน เป็นต้น) และ margin สูงกว่า commodities grade 100-150$/ton

– ความสามารถในการแข่งขันกระจายในทุกสินค้าหลัก โดยบริษัทมุ่งพัฒนาสินค้า HVA ครอบคลุมทั้ง PE เช่น ท่อทนทานที่ใช้ในอุตสาหกรรมอาหารและเหมือง, PP เช่น ชิ้นส่วนรถยนต์, PVC เช่น ขอบหน้าต่าง PVC กันเสียงและมลภาวะ เป็นต้น

– MOC เป็นหนึ่งในฐานผลิตโอเลฟินส์สำคัญในระยะยาว ที่มีความยืดหยุ่นของ feedstock (feed LPG+อีเทน ราว 17-20%) ทำให้ความสามารถในการแข่งขันดีกว่าโรงระยองโอเลฟินส์/ ROC  และช่วยรับการขายของตลาดเวียดนามแทนโรง LSP ในช่วงที่ต้องกลับมาหยุดการผลิต หรือลด run จาก product spread อยู่ในระดับต่ำได้

 

- Advertisement -