KS Daily View 24.09.2025 >>> ตลาดเผชิญแรงขาย 5 วันติด เน้นกลยุทธ์ selective buy คาด SET วันนี้ กรอบ 1,255-1,285 จุด แนะนำ ERW และ AEONTS
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศวันนี้: ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวลดลง ดัชนี S&P500 ลดลง 0.55%, Nasdaq Composite ลดลง 0.95%, และ Dow Jones ลดลง 0.19% หลังจากที่ก่อนหน้านี้ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่อง 3 วันติดต่อกัน เนื่องจากเจอโรม พาวเวลล์ ประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ เปิดเผยแนวทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยในครั้งถัดไปเป็นไปได้สูง หลังการจ้างงานใหม่ชะลอตัวหนัก
ตลาดหุ้นไทยปิดที่ 1,273.20 จุด ลดลง 9.34 จุด (-0.73%) จากการปรับตัวลดลงของกลุ่มพลังงาน, กลุ่มค้าปลีก, และกลุ่มสื่อสาร ในวันนี้ เราคาด SET Index จะแกว่งตัวในกรอบ 1,255-1,285 จุด หลังจากที่ตลาดเผชิญแรงขายจากนักลงทุนต่างชาติต่อเนื่อง 5 วันติดต่อกันประกอบกับข่าวดีเริ่มจากหายไป โดยมองว่า อาจเห็นภาพของ selective buy ในตลาดตามปัจจัยบวกเฉพาะของกลุ่ม หลังที่ SET index นั้นปรับตัวขึ้นในช่วงที่ผ่านมาหนุนให้ Valuation ของ SET index ปรับตัวขึ้นอยู่ที่ระดับ -0.5 SD ของค่าเฉลี่ยในอดีตของ PER band ซึ่งเป็นจุดที่เห็น flow จากต่างชาติชะลอตัว ในขณะเดียวกันเดียวกันภาพของต่างประเทศอย่างสหรัฐ ตลาดกลับมากังวลเรื่องของภาคจ้างงานใหม่ชะลอตัวหนักที่อาจส่งผลกระทบกับเศรษฐกิจหนุนให้เฟดมีการปรับลดอัตราดอกเบี้ย ที่อาจส่งภาพเชิงลบการลงทุนของไทย ในส่วนกลยุทธ์การลงทุนแนะนำหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะ อย่าง ERW เก็งททท. เปิดตัวโครงการ “Nihao Month” ช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์และวันชาติจีน และ AEONTS จาก asset quality ที่ปรับดีขึ้น
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
1) เจอโรม พาวเวล ประธานเฟด ชี้ว่าตลาดแรงงานที่อ่อนแอกดดันมากกว่าเงินเฟ้อ จึงหนุนการลดดอกเบี้ยล่าสุด โดยการจ้างงานใหม่ชะลอ เหลือต่ำกว่า 30,000 ตำแหน่งต่อเดือน และข้อมูลย้อนหลังชี้สร้างงานน้อยกว่าที่รายงานเกือบ 1 ล้านตำแหน่งในปีที่ผ่านมา ขณะเงินเฟ้อยังเกินเป้าหมาย 2% โดยคาด PCE โต 2.7% YoY พาวเวลย้ำ เฟดยังคงคุมเข้มนโยบายเล็กน้อย แต่พร้อมลดดอกเบี้ยเพิ่ม หากเศรษฐกิจอ่อนแรงต่อ
2) EU ประกาศเลื่อนบังคับใช้กฎหมายต้านการตัดไม้ทำลายป่าออกไปอีก 1 ปี เป็นครั้งที่สอง จากเดิมที่ควรเริ่ม 30 ธ.ค. กฎหมายนี้จะห้ามนำเข้าสินค้า เช่น ปาล์มน้ำมัน ถั่วเหลือง และเนื้อวัว หากไม่มีหลักฐานยืนยันว่าไม่เกี่ยวข้องกับการทำลายป่า สาเหตุการเลื่อนมาจากระบบไอทีที่ยังไม่พร้อม ในขณะเดียวกันอินโดนีเซียและ EU ดฉากการเจรจา CEPA ที่ยาวนาน 9 ปี โดยตกลงยกเลิกภาษีนำเข้าสินค้า EU กว่า 98.5% ทำให้สินค้ารถยนต์ นม และช็อกโกแลตเข้าสู่ตลาดอินโดนีเซียได้ง่ายขึ้น ขณะที่อินโดนีเซียจะส่งออกสินค้า 90% ไปยุโรปแบบปลอดภาษี โดยตั้งเป้าบังคับใช้ 1 ม.ค. 2027 มองเป็นจิตวิทยการลงทุนเชิงลบเล็กน้อยกับกลุ่มยางอย่าง STA และ STGT
3) ยอดผลิตรถยนต์ไทยเดือนสิงหาคม 2568 อยู่ที่ 112,366 คัน ลดลง 6.11% YoY สาเหตุหลักมาจากการผลิตเพื่อ ส่งออกลดลง 10.67% YoY เหลือ 73,956 คัน ขณะที่การผลิตเพื่อจำหน่ายในประเทศยังไม่สามารถชดเชยการหดตัวของตลาดส่งออกได้เต็มที่ ส่งผลให้ภาพรวมการผลิตรถยนต์ไทยยังอยู่ในทิศทางชะลอตัว มองเป็นลบเล็กน้อยกับ AH และ SAT
4) ธปท. กำลังหารือกับสมาคมค้าทองคำเพื่อลดผลกระทบต่อค่าเงินบาทจากการซื้อขายทอง โดยเงินบาทแข็งค่ามากกว่าสกุลอื่นเพราะดุลบัญชีเดินสะพัดเกินคาด การเมืองมีเสถียรภาพ และคนไทยขายทองแลกดอลลาร์เมื่อราคาสูง ทำให้บาทแข็งเร็วขึ้น ขณะที่กำลังพิจารณามาตรการการซื้อขายทองเป็นดอลลาร์และการจัดเก็บภาษีการซื้อขายเพื่อลดความผันผวนค่าเงิน มองเป็นจิตวิทยาการลงทุนเชิงบวกเล็กน้อยกับกลุ่มส่งออก
5) ผู้บริหาร BTG ได้อนุมัติโครงการซื้อหุ้นคืนเพื่อบริหารทางการเงิน วงเงินไม่เกิน 2,000 ล้านบาท จำนวนไม่เกิน 85 ล้านหุ้น คิดเป็น 4.39% ของหุ้นทั้งหมด โดยจะซื้อผ่านระบบตลาดหลักทรัพย์ ระยะเวลาดำเนินการ 29 ก.ย. 2025 – 27 มี.ค. 2026
6) ททท. เปิดตัวโครงการ “Nihao Month” ช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์และวันชาติจีน (Golden Week) ระหว่าง 1–8 ต.ค. 2025 เพื่อรับมือการชะลอตัวของตลาดนักท่องเที่ยวจีน มุ่งสร้างความเชื่อมั่นและกระตุ้นการเดินทาง โดยคาดว่าจะเป็นช่วงที่มีนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมากขึ้นทั้งในและต่างประเทศจากวันหยุดยาวตรงกับเทศกาลสำคัญ มองเป็นบวกกับกลุ่มท่องเที่ยวอย่าง CENTEL SHR ERW BA AAV
Daily pick
ERW: ราคาพื้นฐาน 3.11 บาท
จากความคาดหวังมาตรการกระตุ้นการท่องเที่ยวของรัฐบาลใหม่ อีกทั้งผู้ว่าการ ททท. ได้เสนอไอเดียผ่าน social media ให้มีโครงการ ทัวร์ไทยคนละครึ่ง เพื่อดึงดูดคนไทยออกมาเที่ยวภายในประเทศ ประกอบกับเราคาดหวังการฟื้นตัวใน 2H25 ที่เป็น high season เมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก อีกทั้ง ททท. เปิดตัวโครงการ “Nihao Month” ช่วงเทศกาลไหว้พระจันทร์และวันชาติจีน (Golden Week) ระหว่าง 1–8 ต.ค. 2025 เพื่อรับมือการชะลอตัวของตลาดนักท่องเที่ยวจีน ที่อาจหนุนให้รายได้มีแนวโน้มที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญใน 4Q25
AEONTS: ราคาพื้นฐาน 135.00 บาท
เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ AEONTS จากการคาดการณ์การรายงานกำไรใน 2Q26FY ที่ระดับ 836 ล้านบาทเติบโตราว 8% QoQ และ 2% YoY จากการขาย NPL ตามปกติในไตรมาส 2 เราประเมิน credit cost มีโอกาสปรับตัวลดลงในครึ่งปีหลังจากการควบคุม Asset quality ที่เข้มงวดและการปรับ credit scoring ในช่วงก่อนหน้า นอกจากนี้เราคาดการณ์มาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจระยะสั้นของรัฐบาลใหม่จะช่วยปรับปรุงคุณภาพสินทรัพย์ในช่วง 3-6 เดือนข้างหน้าได้ พร้อมกันนี้ด้วยระดับ coverage ที่สูงเมื่อเทียบกับในช่วงที่ผ่านมาจะเป็นฐานที่แข็งแกร่งสำหรับ AEONTS ได้ และเราคาดการณ์การลดอัตราดอกเบี้ยอีก 1 ครั้งในช่วงเดือนธันวาคมจะส่งผลให้ funding cost ลดลงได้ในอีก 6 เดือนข้างหน้า
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
วันพุธ ติดตามการรายงานของกระทรวงพาณิชย์ไทยในตัวเลขส่งออก (TH Export) เดือน ส.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 7.0% YoY ชะลอตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 11.0% YoY และตัวเลขนำเข้าเดือน (TH Import) ส.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 9.0% YoY เร่งตัวจากเดือนก่อนหน้าที่ 5.1% YoY
วันพฤหัสบดี ติดตามยอดคำสั่งซื้อสินค้าคงทนของสหรัฐ (Durable goods orders) เดือน ส.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ -0.3% MoM เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ -2.8% MoM ต่อด้วยการรายงานครั้งสุดท้ายของ GDP 2Q25 สหรัฐอเมริกา ตลาดคาดที่ 3.3% ทรงตัวจากครั้งก่อนหน้า ปิดท้ายด้วยจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรก (Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมาตลาดคาดการณ์ที่ 2.34 แสนตำแหน่งเทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.31 แสนตำแหน่ง
วันศุกร์ ติดตามรายงานดัชนีราคาการใช้จ่ายด้านการบริโภคพื้นฐานส่วนบุคคล (US Core PCE Price Index) เดือน ส.ค. ตลาดคาดที่ 2.7% YoY เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 2.6% YoY