บล.กสิกรไทย:
SCC หุ้นปูนใหญ่เผชิญกับความท้าทายก่อนการฟื้นตัว คาดว่ากำไร 3Q68 จะพลิกขาดทุน คาดว่ากำไร 4Q68 จะกลับมาเป็นบวก
คาดว่ากำไรไตรมาส 3/2568 จะพลิกขาดทุน
- เราคาดว่า SCC จะรายงานผลขาดทุนสุทธิไตรมาส 3/2568 ที่ 500 ลบ. พลิกจากมีกำไรสุทธิ 1.73 หมื่นลบ.ในไตรมาส 2/2568 และ 721 ลบ.ในไตรมาส 3/2567 ผลประกอบการคาดว่าจะอ่อนตัวลง QoQ เนื่องจากไม่มีกำไรพิเศษจาก Chandra Asri (CAP) จำนวน 1.52 หมื่นลบ. รวมถึงรายได้จากเงินปันผลที่ลดลงและอาจมีผลขาดทุนจากการตีมูลค่าสินค้าคงเหลือสุทธิ 750 ลบ. ในขณะเดียวกัน ผลประกอบการที่อ่อนตัวลง YoY ส่วนใหญ่มาจากการรับรู้ค่าเสื่อมราคาและดอกเบี้ยที่เพิ่มขึ้นจากการเริ่มดำเนินการเชิงพาณิชย์ของโรงงานแครกเกอร์ของ LSP ซึ่ง มูลค่ารวม 4 พันลบ.
ธุรกิจที่ไม่ใช่เคมีภัณฑ์มีการปรับตัวดีขึ้น
- สำหรับธุรกิจที่ไม่ใช่เคมีภัณฑ์ คาดว่ากำไรของธุรกิจปูนซีเมนต์และวัสดุก่อสร้าง (CBM) และธุรกิจบรรจุภัณฑ์จะปรับตัวดีขึ้น QoQ จากการปรับราคาขายปูนซีเมนต์ที่สูงขึ้นและผลขาดทุนที่ลดลงของ Fajah ซึ่งเป็นบริษัทย่อยของ SCGP ในขณะเดียวกัน คาดว่ากำไรจากธุรกิจเคมีภัณฑ์จะอ่อนตัวลงจากส่วนต่างราคา PE และ PP ที่ลดลง 9-16%
คาดว่ากำไรไตรมาส 4/2568 จะกลับมาเป็นบวก
- กำไรของ SCC ในไตรมาส 4/2568 น่าจะปรับตัวดีขึ้น QoQ จากรายได้เงินปันผลที่สูงขึ้นซึ่งคาดว่าจะชดเชยผลกระทบของอุปสงค์ตามฤดูกาลที่ลดลงของธุรกิจ CBM และบรรจุภัณฑ์ได้ทั้งหมด นอกจากนี้ เรามองว่า downside จากธุรกิจเคมีภัณฑ์มีจำกัด เนื่องจากปัจจุบันส่วนต่างราคาโอเลฟินส์ได้อยู่ต่ำกว่าต้นทุนเงินสด ในขณะที่อุปสงค์จะเพิ่มขึ้นตามฤดูกาลในช่วงก่อนสิ้นปี
มุมมอง KS
- แนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย ที่ 246.00 บาท จากผลตอบแทนของราคาหุ้นรวม (TSR) ที่ 16% และโอกาสในการปรับตัวคูณมูลค่าหุ้นขึ้นเมื่อส่วนต่างราคาโอเลฟินส์เริ่มฟื้นตัวจากการปรับลดกำลังการผลิตที่กำลังดำเนินอยู่ นอกจากนี้ SCC ซื้อขายด้วย PBV และ EV/EBITDA ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต 1SD โดยราคาหุ้นที่อาจปรับตัวลดลงถือเป็นโอกาสในการทยอยสะสมเพื่อรอการสิ้นสุดของวัฏจักรขาลงของอุตสาหกรรมปิโตรเคมี ทั้งนี้ความเสี่ยงสำคัญคือความล่าช้าในการจำหน่ายหุ้น CAP ที่เลื่อนออกไปเป็นกลางปี 2569