นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP

SCGP เผยผลงานไตรมาส 3 เดินแผนขยายบรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภค เติบโตตลาดอาเซียน คงกลยุทธ์การเงิน-ซัพพลายเชนแกร่ง พร้อมรับมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ

SCGP แถลงผลการดำเนินงานไตรมาส 3 ปี 2568 ทำรายได้จากการขาย 30,438 ล้านบาท EBITDA 4,154 ล้านบาท และกำไรสำหรับงวด 953 ล้านบาท จากปริมาณการขายเพิ่มขึ้น และบรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภค ที่เติบโตในอาเซียนตามแผน วางกลยุทธ์บริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ บูรณาการห่วงโซ่อุปทานของโรงงานในภูมิภาค พร้อมนำเทคโนโลยีมาใช้เพิ่มประสิทธิภาพ คาดไตรมาส 4 ได้รับผลบวกจากการเติมสต๊อกสินค้าช่วงปลายปี การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ และการท่องเที่ยวของรัฐบาล

นายวิชาญ จิตร์ภักดี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัทเอสซีจี แพคเกจจิ้ง จำกัด (มหาชน) หรือ SCGP กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 ตลาดบรรจุภัณฑ์อาเซียนขยายตัวต่อเนื่อง จากการบริโภคภายในประเทศและการส่งออก จากการเตรียมพร้อมสำหรับ เทศกาลปลายปีเมื่อเทียบกับไตรมาสก่อน ส่วนด้านราคายังคงมีความผันผวน โดยราคาขายเฉลี่ยของกระดาษบรรจุภัณฑ์ และเยื่อกระดาษปรับลดลง ตามแนวโน้มตลาดภูมิภาค

รายได้จากการขาย

SCGP ได้เพิ่มศักยภาพการทำกำไร และความสามารถการแข่งขัน ด้วยกลยุทธ์การเติบโต ภายในประเทศกลุ่มอาเซียน การวางโมเดลธุรกิจแบบครบวงจร เพื่อตอบโจทย์ลูกค้าและสภาพตลาดที่หลากหลาย ตลอดจนการขยายตลาดใหม่ที่มีศักยภาพ เช่น อินเดีย ออสเตรเลีย ส่งผลให้ปริมาณการขายบรรจุภัณฑ์เพื่อผู้บริโภคในกลุ่มธุรกิจบรรจุภัณฑ์แบบครบวงจร และกลุ่มธุรกิจเยื่อและกระดาษเพิ่มขึ้น แม้ว่าราคาเฉลี่ยยังปรับลดลง ตามแนวโน้มของตลาด

นอกจากนี้ บริษัทฯ มุ่งจัดการต้นทุนและการผลิตที่มีประสิทธิภาพ เช่น เพิ่มสัดส่วนการใช้พลังงานทดแทนเป็นร้อยละ 38.6 นำเทคโนโลยี AI และ Machine Learning มาปรับใช้ อีกทั้งยังเน้นการบริหารต้นทุน และบูรณาการห่วงโซ่อุปทานของโรงงานต่าง ๆ ในภูมิภาคทั้งด้านการผลิตและการใช้วัตถุดิบอย่างยืดหยุ่น (Regional Optimization)

สัดส่วนรายได้จากการขายแบ่งตามประเทศลูกค้า สำหรับงวด 9 เดือน สิ้นสุดเดือนกันยายน 2568

การปรับกลยุทธ์เชิงรุกท่ามกลางความท้าทาย ทำให้ในไตรมาสที่ 3 ของปี 2568 SCGP มีรายได้จากการขายรวม 30,438 ล้านบาท ลดลงร้อยละ 9 เมื่อเทียบกับปีก่อน และลดลงร้อยละ 4 จากไตรมาสก่อน ขณะที่ EBITDA อยู่ที่ 4,154 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับปีก่อน ลดลงร้อยละ 2 จากไตรมาสก่อน และมีกำไรสำหรับงวด 953 ล้านบาท เพิ่มขึ้นร้อยละ 65 เมื่อเทียบกับปีก่อนจากผลการดำเนินงานของ ธุรกิจบรรจุภัณฑ์กระดาษในอินโดนีเซียที่ดีขึ้น ขณะที่ลดลงร้อยละ 6 จากไตรมาสก่อนสอดคล้องกับรายได้ ส่วน EBITDA margin ปรับตัวดีขึ้นจากการบริหารจัดการต้นทุนพลังงาน และสาธารณูปโภคในกระบวนการผลิตอย่างมีประสิทธิภาพ

นายวิชาญ กล่าวว่า ภาพรวมอุตสาหกรรมบรรจุภัณฑ์ในอาเซียน และการใช้จ่ายของผู้บริโภคในไตรมาสที่ 4 ปี 2568 มีแนวโน้มเติบโต จากการเตรียมเพิ่มสต๊อกสินค้าช่วงปลายปี โดยเฉพาะอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภค เพื่อเตรียมรับการใช้จ่ายในช่วงเทศกาลปีใหม่ และเทศกาลเฉลิมฉลอง และปัจจัยบวกจากมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาล เช่น มาตรการคนละครึ่ง มาตรการส่งเสริมการท่องเที่ยว ฯลฯ จะส่งผลดีต่อความต้องการ ใช้บรรจุภัณฑ์เพิ่มขึ้น  ขณะที่ราคาขายบรรจุภัณฑ์กระดาษ และบรรจุภัณฑ์พอลิเมอร์คาดว่าจะทรงตัว ส่วนราคาขายกระดาษบรรจุภัณฑ์ และเยื่อเคมีละลายได้มีแนวโน้มเพิ่มขึ้นจากความต้องการที่มีแนวโน้มฟื้นตัว

EBITDA

SCGP ยังคงเดินหน้าเสริมความแข็งแกร่ง ในตลาดอาเซียน ล่าสุด ได้ลงนามในสัญญาซื้อหุ้นแบบมีเงื่อนไข เพื่อเข้าถือหุ้นสามัญในสัดส่วนร้อยละ 100 ใน PT Prokemas Adhikari Kreasi (MYPAK) ซึ่งเป็นบริษัทผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษคุณภาพชั้นนำ ในอินโดนีเซีย มีฐานการผลิตตั้งอยู่ที่เมือง Bekasi ทางตะวันตกของเกาะชวา ที่ใกล้กับฐานการผลิตกระดาษบรรจุภัณฑ์ของ PT Fajar Surya Wisesa Tbk. และมีฐานลูกค้าเป็นบริษัทข้ามชาติ และแบรนด์สินค้าชั้นนำในตลาดอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคในประเทศ มูลค่ากิจการไม่เกิน 455 พันล้านรูเปียห์ (ประมาณ 956 ล้านบาท) ทั้งนี้ อยู่ระหว่างการดำเนินการตามกระบวนการเข้าซื้อกิจการ คาดปิดดีลภายในไตรมาสที่ 4 ของปี 2568 นับเป็นกลยุทธ์สำคัญที่ช่วยเพิ่มโอกาส Cross-selling จากฐานลูกค้ากลุ่มสินค้าอาหาร เครื่องดื่ม และสินค้าอุปโภคบริโภคทั้งในและต่างประเทศ สามารถนำเทคโนโลยีของ MYPAK มาช่วยผลักดันการผลิต และการบริหารจัดการต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ รวมถึงที่ตั้งเชิงกลยุทธ์ จะช่วยสร้างประสานประโยชน์ (Synergy) กับเครือข่ายธุรกิจ และเสริมศักยภาพการบูรณาการ ห่วงโซ่อุปทานกับธุรกิจกระดาษบรรจุภัณฑ์ (Value Chain Integration) ของ SCGP ในภูมิภาค ซึ่งจะช่วยยกระดับความสามารถการแข่งขัน และรองรับการเติบโตของเศรษฐกิจและความต้องการบรรจุภัณฑ์ในอินโดนีเซีย

กำไรสำหรับงวด

อีกทั้งยังขับเคลื่อนด้านความยั่งยืนตามเป้าหมาย ลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจกลงร้อยละ 25 ภายในปี 2573 และมุ่งสู่ Net Zero ภายในปี 2593 ด้วยการพัฒนากระบวนการผลิตอย่างต่อเนื่อง การพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่สามารถนำกลับมาใช้ซ้ำ รีไซเคิล รวมถึงการขยายความร่วมมือ กับลูกค้ากลุ่มบรรจุภัณฑ์อาหารและเครื่องดื่มชั้นนำจำนวน 6 ราย ในการพัฒนาบรรจุภัณฑ์ที่ติดฉลาก คาร์บอนฟุตพริ้นท์ของผลิตภัณฑ์ (CFP) โดย SCGP ที่แสดงข้อมูลการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เพื่อเสริมความสามารถในการแข่งขันของทั้ง SCGP และลูกค้าในตลาด และสร้างการเติบโต บนแนวทางธุรกิจที่ยั่งยืนร่วมกัน

- Advertisement -