เอสซีจี ผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 เผชิญเศรษฐกิจท้าทายและปัจจัยภายนอกกดดัน กระแสเงินสดเข้มแข็ง 14,191 ล้านบาท จากวินัยการเงินเข้มงวด กำไรที่ไม่รวมการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือและรายการปรับโครงสร้างธุรกิจ 774 ล้านบาท

เอสซีจี เผยไตรมาส 3 ปี 2568 กระแสเงินสด (EBITDA) 14,191 ล้านบาท ผลจากการรักษาวินัย ทางการเงินเข้มงวดรายได้จากการขาย 121,793 ล้านบาท กำไรที่ไม่รวมการปรับมูลค่า สินค้าคงเหลือของเอสซีจีซี และรายการปรับโครงสร้างธุรกิจ 774 ล้านบาท ขณะที่มีขาดทุนสำหรับงวด 669 ล้านบาท แม้เผชิญกับเศรษฐกิจโลก-ไทยชะลอตัว เอสซีจีได้เพิ่มขีดความสามารถทางการแข่งขัน บริหารต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพ  ขยายพอร์ตสินค้าราคาคุ้มค่า-HVA-กรีน และคว้าโอกาสตลาดเวียดนามเติบโตสูง ผลิต-ส่งออกสู่ตลาดโลก

เอสซีจีแจ้งผลประกอบการ ไตรมาส 3 ปี 2568 และ 9 เดือน ปี 2568 แม้เผชิญกับสถานการณ์เศรษฐกิจ ที่ท้าทายและปัจจัยกดดันภายนอก  ผลจากการดำเนินงานของแต่ละธุรกิจส่วนใหญ่อยู่ในระดับมั่นคง  กระแสเงินสด (EBITDA) ช่วง 9 เดือนของปี 2568 อยู่ที่ 44,511 ล้านบาท  เมื่อเทียบกับ 38,768 ล้านบาทจากช่วงเดียวกันของปีก่อน เป็นผลจากความพยายามปรับโครงสร้าง การดำเนินงานธุรกิจอย่างต่อเนื่อง การรักษาวินัยทางการเงินอย่างเข้มงวด การบริหารต้นทุนให้แข่งขันกับผู้ผลิตระดับโลก การขยายพอร์ตสินค้าราคาคุ้มค่า Smart Value – HVA- กรีน

กระแสเงินสด (EBITDA) ไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 14,191 ล้านบาท ลดลง 19% จากไตรมาสก่อน จากเงินปันผล รับตามฤดูกาล รายได้จากการขาย 121,793 ล้านบาท ลดลง 2% จากปัจจัยฤดูกาลของธุรกิจ ที่เกี่ยวข้องกับซีเมนต์และการก่อสร้าง และรายได้จากการขายที่ลดลงของเอสซีจีพี กำไรเมื่อไม่รวมการปรับมูลค่าสินค้าคงเหลือ ของเอสซีจีซี และรายการปรับโครงสร้างธุรกิจ 774 ล้านบาท  ซึ่งหากรวมรายการดังกล่าว จะมีขาดทุนสำหรับงวด 669 ล้านบาท

เอสซีจีได้ปรับตัวอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปีที่ผ่านมา เพื่อรับมือกับวิกฤตเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ส่งผลดีต่อการดำเนินงานและการเงินในช่วง 12 เดือนที่ผ่านมา (ไตรมาส 3 ปี 2567 ถึงไตรมาส 3 ปี 2568)  ดังนี้  1) เงินทุนหมุนเวียน ลดลง 21,571 ล้านบาทจากปีก่อน   2) หนี้สินสุทธิลดลง 32,226 ล้านบาทจากปีก่อน  3) อัตราส่วนหนี้สินสุทธิต่อ EBITDA อยู่ที่ 4.7 เท่า จากเดิม 6.3 เท่า

สถานการณ์เศรษฐกิจโลก-ไทยมีแนวโน้มชะลอตัวต่อเนื่อง ซึ่งเป็นความท้าทายที่แต่ละธุรกิจ ต้องปรับตัวอยู่ตลอดเวลา เอสซีจีจึงใช้ความได้เปรียบจากการเข้าไปดำเนินธุรกิจในอาเซียนมานาน โดยเฉพาะเวียดนามที่มี GDP โตสูงถึง 7% และสามารถบริหารต้นทุนให้แข่งขัน กับผู้ผลิตระดับโลกได้เป็นฐานการผลิตสินค้า อาทิ ปูนซีเมนต์คาร์บอนต่ำ  กระเบื้องเซรามิก ส่งออกสู่ตลาดโลก

- Advertisement -