AWC เปิดประสบการณ์ความพิเศษ พร้อมกำไรสุทธิไตรมาส 3/2568 เติบโตต่อเนื่องสู่ 1,148 ล้านบาท ด้วย “Jurassic World: The Experience” แลนด์มาร์กใหญ่ที่สุดครั้งแรก ของโลกที่เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น สนับสนุนการท่องเที่ยวยั่งยืนของประเทศไทย
- AWC เสริมพลังกลุ่มลูกค้าคุณภาพ สร้างผลประกอบการไตรมาส 3ปี 2568 เติบโตแข็งแกร่ง ด้วยรายได้รวม 5,193 ล้านบาท เติบโต 7.2% (YoY) กำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดา) 2,509 ล้านบาท เติบโต 9.5% (YoY) และกำไรสุทธิ 1,148 ล้านบาท เติบโต 0.8% (YoY) สะท้อนกลยุทธ์สร้างความแข็งแกร่งผ่านความสมดุลของพอร์ตอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูง มุ่งขับเคลื่อนการเติบโตระยะยาวอย่างมีคุณภาพ
- กลุ่มธุรกิจโรงแรมสร้างรายได้จากทรัพย์สินที่เปิดดำเนินงานปกติรวม2,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า จากการรับรู้รายได้จากทรัพย์สินใหม่ในปีนี้ รวมทั้งการเติบโตที่แข็งแกร่งของโรงแรมในกลุ่มรีสอร์ทระดับลักชัวรี โดยเฉพาะในเกาะสมุย เสริมโมเดลกลุ่มไลฟ์สไตล์ หนุนรายได้ของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 เติบโตต่อเนื่อง 10.9% (YoY)
- “Jurassic World: The Experience” สร้างประสบการณ์ความสุขในรูปแบบพิเศษครั้งแรกของโลก ดันรายได้กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าเติบโตก้าวกระโดด 44.0% (YoY) ด้วยยอดจำหน่ายบัตรเข้าชมมากกว่า 200,000 ใบ ภายใน 3 เดือนแรก ดึงดูดนักท่องเที่ยวเข้าเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ตลอดทั้งวัน หนุนอัตราการเช่าพื้นที่และรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้นก้าวกระโดดกว่า 26.3% (YoY)
- พอร์ตโฟลิโอทรัพย์สินคุณภาพรวม 215,550 ล้านบาท ในไตรมาส 3 ปี 2568 เติบโตก้าวกระโดดมากกว่า 2 เท่านับตั้งแต่ IPO และเพิ่มขึ้น 10.4% (YoY) พร้อมขับเคลื่อนกลยุทธ์ Sustainable Growth-Led Strategy รวมทั้งเตรียมเปิดเครื่องเล่น SkyFlyers สูงที่สุดในเอเชีย ณ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ต้อนรับเทศกาลท่องเที่ยวปลายปีนี้ สนับสนุนกรุงเทพฯ และประเทศไทยสู่จุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก
นางวัลลภา ไตรโสรัส ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการใหญ่ บริษัท แอสเสท เวิรด์ คอร์ป จำกัด (มหาชน) หรือ AWC เปิดเผยผลประกอบการไตรมาส 3 ปี 2568 เติบโตแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่อง จากพอร์ตอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูงที่มีความสมดุล โดยมีรายได้รวม 5,193 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.2% (YoY) มีกำไรจากการดำเนินงาน (อิบิทดา) 2,509ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.5% (YoY) และกำไรสุทธิ 1,148 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 0.8% (YoY) สะท้อนศักยภาพการบริหารจัดการเชิงกลยุทธ์ที่ประสิทธิภาพ ภายใต้โครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง และพอร์ตโฟลิโอที่สมดุลระหว่างกลุ่มธุรกิจหลัก พร้อมขยายพอร์ตอสังหาริมทรัพย์คุณภาพสูง รวมมูลค่าทรัพย์สินถาวร 215,550 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 10.4% (YoY)
ด้วยความสำเร็จจากการสร้างประสบการณ์ความสุขในรูปแบบพิเศษครั้งแรกของโลก “Jurassic World: The Experience” ที่โครงการเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น แลนด์มาร์กใหม่ระดับโลกที่สร้างประสบการณ์เสมือนจริงแบบอิมเมอร์ซีฟ พร้อม Hatch Dome โลกแห่งการเรียนรู้ยุคใหม่ด้านความยั่งยืนให้แก่เยาวชน โดยมียอดจำหน่ายบัตรเข้าชมมากกว่า 200,000 ใบ ในช่วง 3 เดือนแรกหลังเปิดให้บริการ หนุนรายได้ของกลุ่มคอมเมอร์เชียลเติบโตโดดเด่น ขณะที่กลุ่มโรงแรมและการบริการ ได้รับปัจจัยสนับสนุนจากการเติบโตของโรงแรมในกลุ่มรีสอร์ท ระดับลักชัวรี ด้วยความร่วมมือกับพันธมิตรระดับโลกในการดึงดูดฐานลูกค้าคุณภาพกว่า 710 ล้านคนจากทั่วโลก ด้านกลุ่มอาคารสำนักงานเติบโตจากกลยุทธ์การตลาดเชิงรุกด้วยแนวคิด AWC’s Lifestyle Destination ที่สร้างมูลค่าเพิ่มและขยายฐานผู้เช่าอย่างต่อเนื่อง
พร้อมเดินหน้าขับเคลื่อนกลยุทธ์ Sustainable Growth-Led Strategy เพื่อสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนในระยะยาว ผ่านการเพิ่มมูลค่าทรัพย์สินคุณภาพทั้งจาก Organic Growth และ Inorganic Growth โดยการเปิดโครงการใหม่และแปลงทรัพย์สินที่อยู่ระหว่างการพัฒนา (Developing) เป็นทรัพย์สินดำเนินงาน (Operating) โดยในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ บริษัทมีทรัพย์สินดำเนินงานเพิ่มเข้าสู่พอร์ตโฟลิโอคุณภาพ ได้แก่ โรงแรม มีเลีย พัทยา โฮเต็ล ประเทศไทย โรงแรม จุบีลี เพรสทีจน์ รัชดาภิเษก โรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา และ Jurassic World: The Experience คิดเป็นทรัพย์สินดำเนินงานเพิ่มขึ้นกว่าหนึ่งหมื่นล้านบาท ช่วยสร้างกระแสเงินสดเพิ่มเติมให้แก่บริษัท ภายใต้โครงสร้างทางการเงินที่แข็งแกร่ง โดยมีอัตราส่วนหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของ
ผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 0.91 เท่า ดีกว่าค่าเฉลี่ยอุตสาหกรรม สะท้อนความสามารถในการบริหารจัดการต้นทุนและการเงินอย่างมีประสิทธิภาพ มุ่งมั่นเดินหน้าสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืนตามพันธกิจ “Building Better Future for All”
เพื่อร่วมสร้างอนาคตที่ดีกว่าให้ทุกคน พร้อมสนับสนุนบทบาทของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางการท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก
กลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียลเติบโตโดดเด่นจากโครงการระดับโลก “Jurassic World: The Experience” และการปรับโฉม อาคาร “เอ็มไพร์” สู่ Lifestyle Destination เสริมศักยภาพพอร์ตอสังหาริมทรัพย์คุณภาพ
กลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียลมีการเติบโตอย่างโดดเด่น โดยมีรายได้ 2,260 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 9.6% (YoY) และกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (อิบิทดา) อยู่ที่ 1,864 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 7.1% (YoY) หากไม่รวมกำไรจากการเปลี่ยนแปลงมูลค่ายุติธรรมของอสังหาริมทรัพย์เพื่อการลงทุน รายได้ของกลุ่มธุรกิจคอมเมอร์เชียลเพิ่มขึ้น 24.1% (YoY) และกำไรสุทธิจากการดำเนินงาน (อิบิทดา) เพิ่มขึ้น 24.8% (YoY) เป็นผลมาจากรายได้ของกลุ่มธุรกิจศูนย์การค้าที่เติบโตก้าวกระโดด 44.0% (YoY) แรงหนุนสำคัญมาจากความสำเร็จของการเปิด “Jurassic World: The Experience” ผ่านความร่วมมือกับทั้งพันธมิตรระดับโลกและพันธมิตรหน่วยงานของรัฐบาล
สร้างปรากฏการณ์ความสนุกตื่นเต้นระดับโลกผ่านประสบการณ์อิมเมอร์ซีฟ ควบคู่กับการสร้างแหล่งการเรียนรู้
ด้านความยั่งยืนผ่านมรดกทางธรณีวิทยาของประเทศไทย นำเสนอไดโนเสาร์สายพันธุ์บินได้พันธุ์ใหม่ของโลก “การูแดปเทอรัส” ที่ค้นพบในประเทศไทยเป็นครั้งแรกของโลก รวมถึงสายพันธุ์อื่นๆ ที่พบได้เฉพาะในประเทศไทยเท่านั้น ที่โครงการ เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ซึ่งสามารถจำหน่ายบัตรเข้าชมได้มากกว่า200,000 ใบภายใน 3 เดือนแรก ส่งผลให้โครงการเอเชียทีคมีรายได้ค่าเช่าเพิ่มขึ้น26.3% (YoY) และอัตราการเช่าพื้นที่แตะ 85% เพิ่มขึ้น 15% (YoY) รวมทั้งความสำเร็จของแนวคิด AWC’s Lifestyle Destination ที่มุ่งพัฒนาศูนย์การค้าให้เป็นจุดหมายปลายทางแห่งไลฟ์สไตล์ที่ร่วมยกระดับประสบการณ์ของลูกค้า ทำให้กลุ่มธุรกิจศูนย์การค้ามีอัตราการเช่าพื้นที่เพิ่มขึ้น 9.5% (YoY) สอดคล้องกับรายได้ค่าเช่าของศูนย์การค้าที่เพิ่มขึ้น 15.3% (YoY)
ความสำเร็จของโครงการนี้สนับสนุน เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น สู่แลนด์มาร์กสำคัญของกรุงเทพฯ ที่สามารถดึงดูดผู้เข้าชมได้ตลอดทั้งวัน และได้รับรางวัล “Mall of the Year – Thailand” จากเวที Retail Asia Awards 2025 สะท้อนศักยภาพของเอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ในการเป็นจุดหมายปลายทางแห่งไลฟ์สไตล์ระดับโลก สะท้อนวิสัยทัศน์ของ AWC ในการสร้างคุณค่าอย่างยั่งยืนผ่านการพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวเชิงประสบการณ์ ควบคู่ไปกับการส่งเสริมประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก
ในขณะที่ กลุ่มธุรกิจอาคารสำนักงาน เปิดประสบการณ์ใหม่ที่รวมไลฟ์สไตล์ตอบโจทย์บริษัท ผู้บริหารและพนักงานขององค์กรชั้นนำ สร้างรายได้โตโดดเด่น 14.8% (YoY) และรายได้ค่าเช่าที่เพิ่มขึ้น 7.9% (YoY) จากกลยุทธ์การปรับโฉมและพัฒนาอาคารคุณภาพ โดยเฉพาะอาคาร “เอ็มไพร์” ด้วยกลยุทธ์ “The Empire Reimagined” ผสานการทำงาน สุขภาพ อาหาร ศิลปะ และบริการต่าง ๆ เข้าไว้ด้วยกัน โดยเฉพาะความพิเศษที่ “The Empire Residence” ด้วยพื้นที่ Co-Living มาพร้อมสิ่งอำนวยความสะดวกอันทันสมัย ไม่เหมือนที่ไหนในอุตสาหกรรมอาคารสำนักงาน รวมถึงจุดหมายปลายทางด้านอาหารระดับโลกที่ เอ-ญ่า รูฟทอป แอท ดิ เอ็มไพร์ ควบคู่กับการรับรู้ผลการดำเนินงานของอาคารสำนักงานใหม่ “จูบิลี่ เพรสทีจ ทาวน์เวอร์” ใจกลางรัชดา ทำเลศักยภาพที่กำลังเติบโตอย่างมีคุณภาพ
กลุ่มธุรกิจโรงแรมเติบโตแข็งแกร่ง รับแรงหนุนจากกลุ่มรีสอร์ทลักชัวรีและพอร์ตโรงแรมคุณภาพ พร้อมรับช่วงไฮซีซั่นในไตรมาส 4
ในไตรมาส 3 ปี 2568 กลุ่มธุรกิจโรงแรมและการบริการ สร้างรายได้จากทรัพย์สินที่เปิดดำเนินงานปกติ 2,800 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนหน้า จากการรับรู้รายได้ของทรัพย์สินใหม่ เช่น โรงแรม มีเลีย พัทยา โฮเต็ล ประเทศไทย โรงแรม จุบีลี เพรสทีจน์ รัชดาภิเษก และการรับรู้รายได้เต็มไตรมาสของโรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา และรายได้ของโรงแรมในกลุ่มรีสอร์ทระดับลักชัวรี และโรงแรมอื่นๆ นอกกรุงเทพฯ ที่มีการเติบโต 1.7% (YoY) และ 3.9% (YoY) ตามลำดับ โดยเฉพาะในจุดหมายปลายทางยอดนิยมอย่างเกาะสมุย ที่มีการเติบโตของรายได้เฉลี่ยต่อห้องพัก (RevPAR) เติบโตถึง 7.1% (YoY) จากรายได้เฉลี่ยต่อวัน (ADR) ที่เพิ่มขึ้น ด้วยความร่วมมือผ่านเครือข่ายพันธมิตรระดับโลก พร้อมทั้งการมีทรัพย์สินคุณภาพสูง ทำให้สามารถเจาะกลุ่มลูกค้าคุณภาพสูง (เช่น ยุโรป สหรัฐอเมริกา ตะวันออกกลาง และโอเชียเนีย) ได้อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ในช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 บริษัทมีการเติบโตของรายได้ค่าห้องพักจากกลุ่มนักท่องเที่ยวคุณภาพกลุ่มนี้ 14% (YoY) สูงกว่าการเติบโตของจำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติกลุ่มนี้ที่เดินทางเข้าประเทศไทยที่ 11% (YoY)นอกจากนี้ ด้วยการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพควบคู่กับการบริหารต้นทุน ทำให้โรงแรมของบริษัทสามารถสร้างอัตรากำไรขั้นต้นในระดับที่สูง อาทิ โรงแรม มีเลีย เกาะสมุย, ไทยแลนด์ มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 57% บันยันทรี สมุย มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 50% และวนาเบลล์ เอ ลักซ์ชูรี คอลเลคชั่น รีสอร์ท เกาะสมุย มีอัตราส่วนกำไรขั้นต้นอยู่ที่ 48%
พอร์ตโรงแรมของ AWC ยังคงแข็งแกร่งกว่าค่าเฉลี่ยของอุตสาหกรรม สะท้อนผ่านดัชนีการสร้างรายได้ (Revenue Generation Index: RGI) โดยเฉพาะโรงแรมในจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวหลักของประเทศไทย โดยโรงแรม
ในหัวหิน มีค่า RGI อยู่ที่ 143 โรงแรมในจังหวัดเชียงใหม่ มีค่า RGI อยู่ที่ 121 และโรงแรมในจังหวัดภูเก็ต มีค่า RGI ที่ 118 นอกจากนี้ ด้วยความสำเร็จจากการเสริมโมเดลกลุ่มไลฟ์สไตล์สำหรับกลุ่มธุรกิจในเครือ อาทิ “เอ-ญ่า รูฟท็อป แอท ดิ เอ็มไพร์” ที่อาคาร “เอ็มไพร์” และการเปิดร้านอาหาร Fossil and Flame ณ เอเชียทีค เดอะ
ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ในไตรมาสนี้ ส่งผลให้รายได้ของธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มในช่วง 9 เดือนแรกปี 2568 เติบโตต่อเนื่อง 10.9% (YoY)
สำหรับโรงแรมที่เปิดดำเนินงานใหม่ในปีนี้ มีการเติบโตอย่างรวดเร็ว โดยโรงแรม มีเลีย พัทยา โฮเต็ล ประเทศไทย สามารถเร่งสร้างกำไรจากการดำเนินงานเป็นบวกได้อย่างรวดเร็วภายใน 2 ไตรมาส นับจากเปิดดำเนินงาน ในขณะที่โรงแรม พัทยา แมริออท รีสอร์ต แอนด์ สปา สามารถดึงดูดกลุ่มลูกค้าคุณภาพได้ต่อเนื่อง โดยมีรายได้เฉลี่ยต่อวัน (Average Daily Rate : ADR) ในไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 5,100 บาทต่อคืน ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยของคู่แข่งขันในตลาด (Compset) พัทยาที่ 3,300 บาทต่อคืน
การเติบโตของกลุ่มธุรกิจโรงแรมในไตรมาสนี้ สะท้อนถึงความแข็งแกร่งของพอร์ตที่สมดุล ครอบคลุมทั้งโรงแรมในเมืองและจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวระดับโลก โดยเฉพาะโรงแรมในกลุ่มรีสอร์ทระดับลักชัวรี ที่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวคุณภาพสูงอย่างต่อเนื่อง พร้อมรับแรงหนุนจากฤดูกาลท่องเที่ยวในช่วงปลายปี ซึ่งจะเป็นปัจจัยสำคัญในการสนับสนุนการเติบโตในไตรมาส 4
ขับเคลื่อนการท่องเที่ยวเชิงคุณภาพ สร้างจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก
บริษัทยังคงมุ่งเดินหน้าสำหรับการเติบโตอย่างยั่งยืนควบคู่ไปกับการสนับสนุนประเทศไทยสู่การเป็นจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก ผ่านการพัฒนาโครงการอสังหาริมทรัพย์ที่เชื่อมโยงเศรษฐกิจ การท่องเที่ยว และชุมชนเข้าด้วยกัน ภายใต้แนวทาง Sustainable Growth-Led Strategy ที่เน้นการเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในทุกมิติ
ภายใต้พันธกิจ “Building Better Future for All” AWC ขับเคลื่อนองค์กรด้วยกรอบแนวคิด 3BETTERs – Better Planet, Better People, Better Prosperity เพื่อขับเคลื่อนการเติบโตอย่างยั่งยืนในทุกมิติ ทั้งสิ่งแวดล้อม สังคม และเศรษฐกิจ โดยในปีนี้ บริษัทได้ดำเนินการพัฒนาโครงการในปัจจุบันให้สอดคล้องกับแนวทางการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์อย่างยั่งยืน โดยในกลุ่มอาคารสำนักงาน มีการพัฒนาระบบต่างๆ อาทิเช่น อุปกรณ์ดูแลคุณภาพอากาศภายในอาคาร รวมทั้งปรับปรุงดูแลสุขภาวะผู้ใช้อาคาร ทำให้อาคารสำนักงานของบริษัทได้รับรองมาตรฐานระดับสากล โดยอาคาร ‘เอ็มไพร์’ อินเตอร์ลิ้งค์ ทาวเวอร์ บางนาและอาคาร 208 แบงค๊อก ได้รับการรับรองมาตรฐาน WELL Core Platinum ซึ่งเป็นระดับสูงสุดในประเทศถึง 3 โครงการ สะท้อนความมุ่งมั่นในการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์บนแนวทางด้านความยั่งยืน เพื่อยกระดับสุขภาวะให้แก่ผู้ใช้อาคาร สำนักงานใจกลาง CBD ของกรุงเทพฯ สู่มาตรฐานความยั่งยืนระดับโลก
บริษัทยังเดินหน้าขับเคลื่อนอุตสาหกรรมท่องเที่ยวของประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง โดยธุรกิจโรงแรมและการบริการของ AWC ได้รับแรงหนุนจากช่วงไฮซีซั่นที่กำลังมาถึง โดยยอดจองห้องพักล่วงหน้าของพอร์ตโฟลิโอโรงแรมเพิ่มขึ้น 13% (YoY) โดยเฉพาะในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวคุณภาพสูง เช่น จังหวัดเชียงใหม่เพิ่มขึ้น 17% (YoY) จังหวัดกระบี่เพิ่มขึ้น 11% (YoY) หัวหินและเกาะสมุย 8% (YoY)สะท้อนถึงศักยภาพของประเทศไทยในฐานะจุดหมายปลายทางท่องเที่ยวยั่งยืนระดับโลก พร้อมกันนี้ AWC ยังร่วมสนับสนุนมาตรการภาครัฐ “เที่ยวดีมีคืน 2568” เพื่อกระตุ้นการท่องเที่ยวในประเทศ ควบคู่กับการสร้างประสบการณ์น่าตื่นเต้นใหม่อย่างต่อเนื่องที่เอเชียทีค เดอะ ริเวอร์ฟร้อนท์ เดสติเนชั่น ด้วยการเตรียมเปิดเครื่องเล่นSkyFlyers ที่มีความสูงเทียบเท่าตึก 30 ชั้นหรือประมาณ 140 เมตร มอบประสบการณ์เสมือนไดโนเสาร์สายพันธุ์บินได้พันธุ์ใหม่ของโลก “การูแดปเทอรัส” ที่ค้นพบในประเทศไทยและเป็นครั้งแรกในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดยจะพาผู้เล่นสัมผัสประสบการณ์แปลกใหม่ในโครงการเอเชียทีค ได้เห็นวิวแม่น้ำเจ้าพระยา ในช่วงเดือนพฤศจิกายนนี้ และเดินหน้าสร้างการเติบโต ต่อเนื่องด้วยการเตรียมเปิดโรงแรมแฟร์มอนท์ แบงคอก สุขุมวิท และโครงการลานนาทีค กาแล เฟส 1 ที่จังหวัดเชียงใหม่ เพื่อเสริมความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตอสังหาริมทรัพย์คุณภาพของ AWC และสร้างคุณค่าองค์รวมที่ยั่งยืนบนหลักธรรมาภิบาลที่แข็งแกร่ง เพื่อสร้าง “อนาคตที่ดีกว่าสำหรับทุกคน”









