MINT รายงานกำไรสุทธิเติบโต 47% ในช่วง 9 เดือนแรก 2568 และเพิ่มขึ้นกว่า 17 เท่าในไตรมาสแรก 2568

บริษัท ไมเนอร์ อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด (มหาชน) หรือ MINT ประกาศผลประกอบการสำหรับงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 ซึ่งสะท้อนถึงการเติบโตอย่างต่อเนื่องของภาคการท่องเที่ยว การขยายตัวของผลกำไรอย่างแข็งแกร่ง และการเพิ่มขึ้นของอัตรากำไรจากการบริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพ

จุดเด่นเชิงกลยุทธ์และผลประกอบการรวมของไมเนอร์ ในไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรกของปี 2568

กำไรสุทธิสำหรับไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 2,553 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 17 เท่าจากช่วงเดียวกันของปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของทุกกลุ่มธุรกิจ และประสิทธิภาพจากตราสารอนุพันธ์ที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ สำหรับงวด 9 เดือนแรก กำไรสุทธิเพิ่มขึ้นร้อยละ 47 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า อยู่ที่ 6,056 ล้านบาท สะท้อนถึงปัจจัยหลักเดียวกันกับไตรมาส 3 ปี 2568 และรายได้จากการขายสินทรัพย์บางส่วนในพอร์ตการลงทุน

เมื่อไม่รวมรายการที่เกิดขึ้นเพียงครั้งเดียว MINT มีกำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) สำหรับไตรมาส 3 ปี 2568 อยู่ที่ 2,768 ล้านบาท ซึ่งเพิ่มขึ้นร้อยละ 5 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงส่งที่แข็งแกร่งของทุกหน่วยธุรกิจ และต้นทุนดอกเบี้ยที่ลดลง แม้อยู่ท่ามกลางสภาวะแวดล้อมทางธุรกิจที่ผันผวน สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 กำไรจากการดำเนินงาน (Core Profit) ของ MINT อยู่ที่ 6,229 ล้านบาท ซึ่งถือว่าเติบโตขึ้นร้อยละ 13 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า

ยอดขายโดยรวมทุกสาขา (Total System Sales) สำหรับช่วง 9 เดือนแรกของปี 2568 อยู่ที่ 193,000 ล้านบาท สูงกว่ารายได้ที่รายงานร้อยละ 57 สะท้อนถึงความสำเร็จของการปรับโครงสร้างสู่โมเดล Asset-Light และความแข็งแกร่งของพันธมิตรทางธุรกิจและเครือข่ายแฟรนไชส์ระดับโลกของ MINT

ค่าใช้จ่ายดอกเบี้ยลดลงร้อยละ 19 เมื่อเทียบกับปีก่อน ผลจากการลดระดับหนี้อย่างมีวินัย และต้นทุนทางการเงินที่ลดลงจากการบริหารเงินทุนอย่างมีประสิทธิภาพและอันดับความน่าเชื่อถือของบริษัทที่ดีขึ้น

หนี้ที่มีภาระดอกเบี้ย (ตามนิยามของสัญญาหนี้) ลดลงจาก 99,110 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาสก่อนหน้า เหลือ 95,458 ล้านบาท ณ สิ้นไตรมาส 3 ปี 2568 จากการไถ่ถอนหุ้นกู้สกุลยูโรมูลค่า 400 ล้านยูโรล่วงหน้า การชำระคืนเงินกู้ธนาคารก่อนกำหนด และการชำระคืนหุ้นกู้สกุลบาท

บริษัทได้จ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจำนวน 0.30 บาทต่อหุ้น คิดเป็นอัตราการจ่ายใกล้เคียงร้อยละ 50 ของผลการดำเนินงานครึ่งปีแรกของปี 2568

สัดส่วนการถือหุ้นของ MINT ในบริษัท Minor Hotels Europe & Americas (MHEA) เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 95.9 เป็นร้อยละ 99.5 ภายหลังการทำคำเสนอซื้อหลักทรัพย์เพื่อเพิกถอนหุ้นออกจากตลาดหลักทรัพย์สเปน (Delisting Tender Offer) เสร็จสมบูรณ์ ซึ่งช่วยปรับโครงสร้างการถือหุ้นและการดำเนินงานให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น ลดค่าใช้จ่ายในการบริหาร และเพิ่มความยืดหยุ่นเชิงกลยุทธ์และการดำเนินงาน

ไมเนอร์ โฮเทลส์: การเติบโตของกำไรและการขยายตัวทั่วโลกอย่างต่อเนื่อง

ไมเนอร์ โฮเทลส์มีกำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 63 จากปีก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากผลการดำเนินงานของโรงแรมที่แข็งแกร่ง โดยเฉพาะในยุโรปและมัลดีฟส์ รวมถึงกำไรจากการขายสินทรัพย์บางส่วนในพอร์ตการลงทุน สำหรับไตรมาส 3 ปี 2568 กำไรที่รายงานปรับตัวดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ อันเป็นผลมาจากการดำเนินงานพื้นฐานที่ดีขึ้น และประสิทธิภาพจากตราสารอนุพันธ์ที่ดีขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

  • รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ในภูมิภาคยุโรปและอเมริกามีการเติบโต ร้อยละ 4 ในงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยได้รับแรงหนุนจากความแข็งแกร่งของแบรนด์และทำเลโรงแรมที่ยอดเยี่ยมซึ่งช่วยคงอัตราการเข้าพักและการเติบโตของราคาห้องพัก แม้เทียบกับฐานที่สูงจากอีเวนต์กีฬาหลักและคอนเสิร์ตใหญ่ในปีที่ผ่านมา
  • รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ของมัลดีฟส์เติบโตโดดเด่น เพิ่มขึ้นร้อยละ 21 จากปีก่อนหน้า หนุนโดยความต้องการจากตลาดต้นทางที่หลากหลาย
  • รายได้เฉลี่ยต่อห้องต่อคืน (RevPar) ประเทศไทยเพิ่มขึ้นร้อยละ 1 โดยได้รับแรงหนุนจากอัตราราคาห้องพักเฉลี่ย (ADR) ที่เพิ่มขึ้นร้อยละ 12 เมื่อเทียบกับปีก่อนหน้า ซึ่งช่วยชดเชยผลกระทบชั่วคราวจากการปรับปรุงโรงแรมหลักบางแห่ง

ในไตรมาสที่ผ่านมา ไมเนอร์ โฮเทลส์ได้ขยายพอร์ตการลงทุนด้วยการเปิดโรงแรมแห่งใหม่ในออสเตรเลีย เข้าสู่ตลาดเปรู เปิดตัวโรงแรมในเครือ Colbert Collection แห่งแรกในสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ และประกาศเข้าสู่ตลาดอียิปต์ผ่านความร่วมมือเชิงกลยุทธ์กับพันธมิตรท้องถิ่นรายสำคัญ

ไมเนอร์ ฟู้ด: นวัตกรรมสินค้าและประสิทธิภาพในการดำเนินงานเสริมความแข็งแกร่ง

ไมเนอร์ ฟู้ดมีกำไรสุทธิในงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 เพิ่มขึ้นร้อยละ 26 จากปีก่อนหน้า โดยมีแรงหนุนหลักจากการดำเนินงานในประเทศไทย และการปรับโครงสร้างความร่วมมือในบริษัท Art of Baking ซึ่งได้นำ Europastry ผู้ดำเนินธุรกิจเบเกอรี่อันดับต้นของโลกเข้ามาเป็นผู้ถือหุ้นเพิ่มเติม เพื่อเร่งขยายธุรกิจเบเกอรีในระดับภูมิภาค ในขณะที่กำไรสุทธิในงวดไตรมาส 3 ปี 2568 ก็เพิ่มขึ้นร้อยละ 16 จากปีก่อนหน้าเช่นกัน
  • แบรนด์ Bonchon, GAGA และ Burger King ยังคงทำผลงานได้อย่างแข็งแกร่ง โดยการเปิดตัวสินค้าใหม่และการบริหารจัดการร้านที่มีประสิทธิภาพ
  • ความแข็งแกร่งของแบรนด์ไมเนอร์ ฟู้ดส่งผลให้มีการขยายสัญญาแฟรนไชส์และความร่วมมือใหม่ๆ โดยในช่วงเวลาดังกล่าวได้มีการเปิดร้านแฟรนไชส์ของ Bonchon, GAGA, Dairy Queen และ Swensen’s เพิ่มขึ้นในประเทศไทย รวมถึงการเร่งเปิดร้าน GAGA และ Dairy Queen ในประเทศอินโดนีเซีย
  • แนวคิดร้านอาหารรูปแบบใหม่มีความคืบหน้าอย่างต่อเนื่อง โดย Sizzler ได้เปิดตัว “Sandwich Society” ร้านแซนด์วิชพรีเมียม พร้อมด้วย “Hey Gusto” ร้านอาหารอิตาเลียนสไตล์โฮมเมด เพื่อตอบโจทย์เทรนด์ผู้บริโภคและขยายฐานลูกค้า

นายดิลลิป ราชากาเรีย ประธานเจ้าหน้าที่บริหารกลุ่ม MINT ให้ความเห็นว่า “เราภาคภูมิใจที่สามารถสร้างการเติบโตของกำไรสุทธิที่โดดเด่นได้แม้ในสภาวะแวดล้อมที่ผันผวน หากไม่รวมรายการพิเศษ เราสามารถบันทึกกำไรจากการดำเนินงานหลักที่เติบโตในอัตราสองหลักในงวด 9 เดือนแรกของปี 2568 โดยเพิ่มขึ้นร้อยละ 13 จากปีก่อน ผลประกอบการที่แข็งแกร่งนี้ช่วยให้เราสามารถมอบผลตอบแทนที่มั่นคงแก่ผู้ถือหุ้นผ่านการจ่ายเงินปันผล พร้อมเสริมความพร้อมของบริษัทในการเติบโตอย่างยั่งยืนต่อเนื่องในอนาคต เราจะยังคงมุ่งเน้นการขับเคลื่อนความสามารถในการทำกำไร เสริมความแข็งแกร่งทางการเงิน และเร่งนวัตกรรมในพอร์ตการลงทุนทั่วโลก โดยมั่นใจในศักยภาพของเราที่จะบรรลุเป้าหมายการเติบโตระยะยาว”

เขากล่าวเพิ่มเติมว่า “อีกหนึ่งเป้าหมายสำคัญคือการสร้างมูลค่าเชิงกลยุทธ์ เพื่อเปิดโอกาสในการปลดล็อกศักยภาพของบริษัทให้เกิดขึ้นอย่างเต็มที่ ผ่านการเสนอขายหน่วยทรัสต์เพื่อการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ (REIT IPO) ซึ่งคาดว่าจะเกิดขึ้นในช่วงกลางปีหน้า ควบคู่กับแผนงานที่กำลังดำเนินการอยู่เพื่อปรับพอร์ตธุรกิจให้เหมาะสมมากยิ่งขึ้น ทั้งนี้ โครงการเหล่านี้จะช่วยผลักดันการเปลี่ยนผ่านของ MINT สู่โมเดล Asset-Light เพิ่มผลตอบแทนจากเงินลงทุน และสะท้อนศักยภาพการดำเนินงานของแต่ละกลุ่มธุรกิจได้อย่างชัดเจนยิ่งขึ้น”
- Advertisement -