TATG โชว์ผลงาน Q3/68 กำไรพุ่ง 187% งวด 9 เดือน กวาดรายได้ทะลุ 2,000 ลบ. มอง Q4/68 รับแรงหนุนตลาดยานยนต์ฟื้นตัว–EV โตแรง–บริหารต้นทุนโดดเด่น

บมจ. ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย (TATG) โชว์ศักยภาพเหนือตลาด ไตรมาส 3/68 กำไรพุ่งแรงเกือบ 187% อยู่ที่กว่า 19 ล้านบาท ท่ามกลางอุตสาหกรรมยานยนต์ที่ยังผันผวน หนุนด้วยการบริหารต้นทุนที่โดดเด่น ส่งผลให้งวด 9 เดือนแรกทำกำไรเกือบ 62 ล้านบาท เพิ่มขึ้นกว่า 17% แม้รายได้ชะลอตามอุตสาหกรรม ขณะที่ แนวโน้มตลาดรถยนต์ในประเทศเริ่มฟื้นและโอกาสจากดีมานด์ EV พุ่งหลายเท่า TATG พร้อมเดินหน้าเสริมประสิทธิภาพ เจาะงาน Tooling สำหรับรถยนต์ไฟฟ้าเพิ่มเติม รวมทั้ง ขยายตลาดไปยัง Non-Automotive รุกบริการพิเศษหลังการขาย และเตรียมพร้อมรองรับโครงการใหม่ ด้วยฐานะการเงินแข็งแกร่ง มุ่งสู่เป้าหมายรายได้ปี 68 

ดร.พยุง ศักดาสาวิตร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ไทย ออโต ทูลส์ แอนด์ ดาย จำกัด (มหาชน) หรือ TATG ผู้ออกแบบและผลิตเครื่องมือสำหรับอุตสาหกรรมรถยนต์ ครอบคลุมถึงการออกแบบและผลิตแม่พิมพ์สำหรับปั๊มขึ้นรูปโลหะ อุปกรณ์จับยึดเพื่อการตรวจสอบ อุปกรณ์จับยึดเพื่อการประกอบ และผลิตชิ้นส่วนรถยนต์แบบปั๊มขึ้นรูปโลหะ เปิดเผยถึงภาพรวมผลการดำเนินงานไตรมาส 3/2568 ท่ามกลางความท้าทายของอุตสาหกรรมยานยนต์ในประเทศ บริษัทฯ สามารถทำกำไรสุทธิได้สูงถึง 19.19 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 186.85% จากงวดเดียวกันของปีก่อนอยู่ที่ 6.69 ล้านบาท ขณะที่รายได้รวมอยู่ที่ 626.96 ล้านบาท ลดลงตามภาวะอุตสาหกรรม สะท้อนผลของการควบคุมต้นทุนขายและต้นทุนบริการที่ลดลงอย่างมีนัยสำคัญ รวมทั้งได้รับแรงผลักดันจากต้นทุนวัตถุดิบและค่าแรงที่ปรับลดลงตามปริมาณงาน ส่งผลให้อัตรากำไรสุทธิ (Net Profit Margin) ปรับดีขึ้นต่อเนื่อง การควบคุมค่าใช้จ่ายในการขาย และบริหารยังคงมีประสิทธิภาพสูง

สนับสนุนให้ภาพรวมผลการดำเนินงาน งวด 9 เดือนแรกปี 2568 (สิ้นสุด 30 ก.ย. 2568) สามารถรักษาความสามารถในการทำกำไรได้อย่างโดดเด่น มีกำไรสุทธิ 61.72 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 17.43% จากช่วงเดียวกันของปีก่อน แม้รายได้รวมจะอยู่ที่ 2,003.25 ล้านบาท ลดลงเล็กน้อยที่ 1.81% เนื่องจากคำสั่งซื้อในธุรกิจผลิตชิ้นส่วนรถยนต์ชะลอตัว แต่การบริหารต้นทุนที่มีประสิทธิภาพ การลดต้นทุนวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายในการขาย ส่งผลให้ TATG สามารถรักษาอัตราการทำกำไรได้ดีอย่างต่อเนื่อง 

“ภาพรวมผลงานไตรมาส 3 และงวด 9 เดือนแรกปีนี้ การบริหารต้นทุนที่ดี คือปัจจัยสำคัญที่สนับสนุนกำไรให้เติบโต แม้รายได้ลดลงตามภาวะเศรษฐกิจและอุตสาหกรรม นอกจากนี้ การชำระคืนหนี้สินจำนวนมากทำให้ D/E ลดลงเหลือ 0.96 เท่า ซึ่งถือว่า TATG มีฐานะการเงินที่แข็งแรงมาก รองรับการลงทุนและการขยายธุรกิจในอนาคต” ดร.พยุง กล่าว

อย่างไรก็ดี จากข้อมูลสภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย ระบุถึง ภาพรวมอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยในรอบ 9 เดือนแรก แม้ยอดการผลิตรวมจะชะลอตัวอยู่ที่ 1,075,801 คัน ลดลง 4.63% จากปีก่อน แต่ตลาดในประเทศเริ่มส่งสัญญาณฟื้นตัว โดยยอดผลิตเพื่อจำหน่ายภายในประเทศกลับมาเติบโต 3.75% ขณะที่เซกเมนต์รถยนต์พลังงานไฟฟ้ายังคงร้อนแรง โดย BEV และ PHEV เติบโตพุ่งหลายเท่าตัว สะท้อนถึงการเปลี่ยนผ่านสำคัญของอุตสาหกรรม และเป็นโอกาสของผู้ผลิตชิ้นส่วนและ Tooling อย่าง TATG ในการขยายตลาดใหม่อย่างต่อเนื่อง 

ภายใต้สภาพตลาดที่ยังผันผวน TATG เดินหน้าเชิงรุก มุ่งเพิ่มประสิทธิภาพการผลิต ควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด และยังมองหาโอกาสใหม่ๆ อาทิ การเปิดตลาดสายการผลิตชิ้นส่วน EV เพื่อรับดีมานด์ใหม่, การแข่งขันด้วยคุณภาพ และการส่งมอบที่ตรงเวลา, การขยายตลาดไปยัง Non-Automotive รุกบริการพิเศษหลังการขาย เป็นต้น พร้อมรักษาอัตราการทำกำไร ในช่วงเศรษฐกิจผันผวน กลยุทธ์ทั้งหมดช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นให้บริษัทแข่งขันได้ในตลาดที่กำลังเปลี่ยนผ่านอย่างรวดเร็ว

“การฟื้นตัวของดีมานด์ในประเทศ ผสานกับการเติบโตอย่างรวดเร็วของตลาดรถยนต์ไฟฟ้า จะเป็นแรงขับหลักของธุรกิจในช่วงต่อจากนี้ ขณะเดียวกัน ฐานะการเงินที่แข็งแกร่งขึ้นจากการลดภาระหนี้ ช่วยให้บริษัทมีศักยภาพรองรับโครงการขนาดใหญ่และขยายไลน์การผลิตได้อย่างต่อเนื่อง แม้สภาพเศรษฐกิจโลกและการแข่งขันจะยังท้าทาย แต่บริษัทเชื่อมั่นว่า ประเทศไทยยังคงเป็นฐานการผลิตชิ้นส่วนยานยนต์สำคัญของภูมิภาค ซึ่งเป็นโอกาสของ TATG ด้วยการยกระดับประสิทธิภาพการผลิต พัฒนาคุณภาพ และขยายตลาดใหม่ควบคู่กันไปพร้อมตั้งเป้ารักษาการเติบโตทั้งรายได้และกำไร เพื่อเดินหน้าเข้าใกล้เป้าหมายรายได้ปี 2568” ดร.พยุง กล่าว

- Advertisement -