ETL เดินหน้าโค้งสุดท้ายปี 68 บุกเส้นทางเอเชียกลาง-รัสเซีย ดันขนส่งครบวงจร ยกระดับ Green Logistics
ETL มั่นใจทิศทางธุรกิจไตรมาส 4/2568 เติบโตต่อเนื่อง ปริมาณขนส่งข้ามพรมแดนหนาแน่น บริหารเที่ยวขนส่งอย่างมีประสิทธิภาพ ตอกย้ำแผนกลยุทธ์ ขยายเส้นทางเอเชียกลาง-รัสเซีย เพิ่มศักยภาพการทำกำไร พร้อมพัฒนาบริการครบวงจร, ตู้ควบคุมอุณหภูมิ และ Multimodal Service ควบคู่ Smart Logistics ลดจำนวนขนส่งเที่ยวเปล่า มุ่งยกระดับมาตรฐานโลจิสติกส์สีเขียว เสริมการคำนวณ Carbon Footprint และ รถบรรทุกขนส่ง EV ภายในเดือนธันวาคม ภาพรวมอุตสาหกรรมอยู่ในเกณฑ์ดี อานิสงส์การย้ายฐานผลิตในภูมิภาค ด้านงบ 9 เดือนปี 2568 รายได้รวม 1,318 ล้านบาท กำไรสุทธิโต 343%
นายพรชัย ดวงแก้ววุฒิไกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท ยูโรเอเชีย โทเทิล โลจิสติกส์ จำกัด (มหาชน) หรือ ETL ผู้ให้บริการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดน เปิดเผยถึงทิศทางธุรกิจช่วงโค้งสุดท้ายปี 2568 ยังคงมีแนวโน้มที่ดี จากปริมาณการขนส่งสินค้าข้ามพรมแดนที่ยังมีเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะกลุ่มสินค้าที่ต้องการควบคุมอุณหภูมิ รวมถึงสินค้าทั่วไปที่ยังเติบโตจากไตรมาสก่อนซึ่งเป็นช่วงไฮซีซั่นธุรกิจ ซึ่งเป็นกลยุทธ์ด้านการบริหารจัดการที่บริษัทได้วางไว้ตั้งแต่ต้นปี ส่งผลให้สามารถเพิ่มปริมาณเที่ยวขนส่งได้มากขึ้น และ รักษาความหนาแน่นของภาระงานได้อย่างต่อเนื่อง
ทั้งนี้ บริษัทเดินหน้าแผนกลยุทธ์การสร้างการเติบโตอย่างยั่งยืน โดยมุ่งเน้นการเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดการเส้นทางขนส่งเพื่อรองรับปริมาณงานที่ยังคงสูงอย่างต่อเนื่องจากฐานลูกค้าในหลากหลายอุตสาหกรรม เพื่อรองรับคำสั่งซื้อจากต่างประเทศที่ยังเข้ามาอย่างสม่ำเสมอ พร้อมทั้งเดินหน้าขยายเส้นทางการขนส่งใหม่ อาทิ ภูมิภาคเอเชียกลาง และ สหพันธรัฐรัสเซียและบางประเทศในทวีปยุโรป เช่น เดนมาร์ก เยอรมนี ซึ่งได้เริ่มให้บริการขนส่งแล้วจำนวน 40 ตู้ พร้อมได้รับผลตอบรับที่ดี และ มีแนวโน้มการเพิ่มจำนวนเที่ยวอย่างสม่ำเสมอ จากการเป็นเส้นทางที่มีศักยภาพสร้างรายได้สูง สอดคล้องกับกลยุทธ์การเพิ่มความสามารถในการทำกำไร โดยเชื่อว่าความต้องการใช้บริการขนส่งข้ามแดนยังอยู่ในช่วงขาขึ้น และ จะช่วยสนับสนุนเป้าหมายการเติบโตของบริษัทในปีนี้ให้เป็นไปตามแผนที่กำหนด
ขณะเดียวกัน บริษัทดำเนินการแผนจัดตั้งสำนักงานแห่งใหม่ บริเวณชายแดนระหว่างประเทศจีน และ ประเทศคาซัคสถาน เพื่อรองรับการขยายตลาดและการปฏิบัติงานให้มีประสิทธิภาพ เพิ่มปริมาณงานในเส้นทางเอเชียกลางในระยะยาว อีกทั้งพัฒนาบริการด้านซัพพลายเชน โซลูชั่นส์ครบวงจร และ บริการขนส่งตู้ควบคุมอุณหภูมิ (Cold Chain Logistics) รวมถึงการให้บริการขนส่งหลายรูปแบบแบบ (Multimodal Service) ทั้ง Land-to-Sea และ Land-to-Air ผ่านความร่วมมือกับพันธมิตรเพื่อให้บริการครบวงจรทั้งการจัดเก็บสินค้าและการขนส่ง โดยเฉพาะการต่อเชื่อมเที่ยวบินผ่านเมืองฮานอยที่มีลูกค้าใช้บริการมากขึ้น พร้อมบริหารจัดการเที่ยวเปล่าด้วยเทคโนโลยี Smart Logistics ในการวิเคราะห์และวางแผนเส้นทางที่เหมาะสมต่อการขนส่งให้มีประสิทธิภาพสูงสุด
“บริษัทให้ความสำคัญการสร้างความเชื่อมั่นกับลูกค้า ในการเป็นธุรกิจที่ให้ความสำคัญกับซัพพลายเชนที่เติบโตอย่างยั่งยืน และ เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม โดยผลักดันบริการให้สอดคล้องกับโครงการด้าน ESG เพื่อมุ่งเน้นการสร้างความรับผิดชอบต่อสิ่งแวดล้อม สังคม และ ธรรมาภิบาล อาทิ การคำนวณ Carbon Footprint เพื่อประเมินปริมาณการปล่อยก๊าซเรือนกระจกและกำหนดมาตรการลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมอย่างเป็นรูปธรรม และ การนำรถบรรทุกไฟฟ้า (EV) จำนวน 8 คัน เข้ามาใช้งานในช่วงต่อชายแดนไทย (ด่านพรมแดนนครพนม) -ลาว (ด่าน Naphao) -เวียดนาม (ด่าน Chalo) ซึ่งจะช่วยลดการปล่อยคาร์บอนต่อเที่ยวขนส่ง เพิ่มประสิทธิภาพด้านพลังงาน และสอดคล้องกับแนวโน้มโลจิสติกส์สีเขียว (Green Logistics) ที่กำลังได้รับความสำคัญในระดับภูมิภาคภายในเดือนธันวาคม 2568” นายพรชัย กล่าว
ด้านภาพรวมอุตสาหกรรมโลจิสติกส์ข้ามพรมแดน ยังคงอยู่ในระดับที่ดีต่อเนื่องจากไตรมาสก่อนที่เป็นช่วงไฮซีซั่นของธุรกิจ ทำให้คำสั่งซื้อยังคงส่งผลต่อเนื่องมาถึงไตรมาสนี้ ส่งผลให้ปริมาณขนส่งยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในหลายเส้นทาง โดยเฉพาะเส้นทางไทย–จีน ที่ยังคงเป็นหลักสำคัญของผู้ประกอบการโลจิสติกส์ในภูมิภาค ขณะเดียวกันปัจจัยต่างๆ อาทิ ราคาน้ำมัน, ความเสี่ยงด้านอัตราแลกเปลี่ยนยังอยู่ในเกณฑ์ที่ดี รวมถึงการปรับตัวของภาคอุตสาหกรรมเพื่อสอดรับสถานการณ์สงครามการค้าสหรัฐฯ–จีน ส่งผลให้ภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ยังคงได้รับอานิสงส์จากคำสั่งซื้อและการย้ายฐานการผลิต ซึ่งเป็นปัจจัยสนับสนุนการเติบโตของอุตสาหกรรมโลจิสติกส์โดยรวม
สำหรับผลการดำเนินงานงวด 9 เดือน ปี 2568 บริษัทมีรายได้รวม 1,318 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 45% และ มีกำไรสุทธิ 45 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากช่วงเดียวกันของปีก่อน 343% จากการเพิ่มปริมาณความต้องการใช้บริการโลจิสติกส์ข้ามพรมแดน 40% และ บริหารต้นทุนการขนส่งโดยสามารถลดเที่ยวเปล่าได้ 34%









