ไซเบอร์จีนิคส์ ชี้ 5 แนวทางรับมือวิกฤตระบบล่ม หลังเหตุการณ์ Cloudflare เน้น “สื่อสาร-แผนสำรอง” คือหัวใจสำคัญในการรักษาความเชื่อมั่น

จากกรณีที่ผู้ให้บริการเครือข่ายระดับโลกอย่าง Cloudflare ต้องเผชิญกับปัญหาระบบล่มครั้งใหญ่เมื่อไม่นานมานี้ ได้ตอกย้ำให้เห็นว่า แม้แต่โครงสร้างพื้นฐานดิจิทัลที่แข็งแกร่งที่สุดก็ยังมีความเสี่ยงต่อสถานการณ์ไม่คาดฝันได้เสมอ บริษัท ไซเบอร์จีนิคส์ จำกัด ผู้นำด้านความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์ในเครือจีเอเบิล ตระหนักถึงความจำเป็นเร่งด่วนที่องค์กรต่างๆ ต้องเตรียมความพร้อม จึงได้สรุป 5 แนวทางสำคัญ ที่องค์กรควรปฏิบัติเพื่อสร้างความยืดหยุ่นทางธุรกิจ (Business Resilience) และรักษาความเชื่อมั่นของลูกค้าในช่วงวิกฤต

นายอัตพล พยัคฆ์ รักษาการกรรมการผู้จัดการและประธานเจ้าหน้าที่ด้านเทคโนโลยี บริษัท ไซเบอร์จีนิคส์ จำกัด กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า “ความผิดพลาดทางเทคนิคเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้เสมอในโลกดิจิทัล แต่สิ่งที่สร้างความแตกต่างคือ การเตรียมพร้อมและการตอบสนองที่รวดเร็ว ซึ่งจะแยกองค์กรที่สามารถฟื้นตัวได้อย่างรวดเร็วออกจากองค์กรที่สูญเสียความไว้วางใจ การพึ่งพาผู้ให้บริการภายนอกเพียงอย่างเดียวโดยไม่มีแผนสำรองถือเป็นความเสี่ยงทางธุรกิจที่สำคัญยิ่งในปัจจุบัน”

นายอัตพล ได้สรุป 5 แนวทางหลักที่องค์กรไม่ควรมองข้าม ดังนี้:

1. การสื่อสารในภาวะวิกฤตคือ “กุญแจสำคัญ” (Crisis Communication)

เมื่อระบบล่ม สิ่งแรกที่ต้องทำคือ รีบสื่อสารให้เร็วและตรงไปตรงมา อธิบายสถานการณ์ให้ลูกค้าและทีมงานเข้าใจ การปล่อยให้เกิดความเงียบจะยิ่งสร้างความตื่นตระหนกและความกังวลมากขึ้น เป้าหมายคือการเปลี่ยนวิกฤตให้กลายเป็นโอกาสในการแสดงความเป็นมืออาชีพในการจัดการปัญหา

2. แยกให้ชัดเจนระหว่าง “ระบบล่ม” กับ “ถูกโจมตี”

หลายครั้งที่ลูกค้ามักกังวลว่าข้อมูลรั่วไหลหรือถูกโจมตีเมื่อเข้าใช้งานไม่ได้ องค์กรต้อง ชี้แจงให้ชัดเจนว่านี่คือปัญหาด้าน “ความพร้อมใช้งาน (Availability)” จากผู้ให้บริการ Third-Party ไม่ใช่ปัญหาด้าน “ความปลอดภัย (Security)” ของระบบองค์กร Key Message ที่สำคัญคือ: “ข้อมูลของท่านยังปลอดภัยดี ระบบของเรามีการป้องกันที่แน่นหนา ปัญหานี้เกิดจากการเชื่อมต่อกับผู้ให้บริการภายนอกเท่านั้น”

3. ต้องมีแผน Business Continuity Plan (BCP) เสมอ

องค์กรไม่สามารถพึ่งพา Uptime 100% จากผู้ให้บริการเพียงรายเดียวได้ การใช้บริการ Cloud/SaaS มีความเสี่ยงโดยธรรมชาติ ดังนั้น องค์กรต้องมี แผนสำรอง (Recovery Plan) ไว้ล่วงหน้า เพื่อให้มั่นใจว่าหากผู้ให้บริการภายนอกใช้งานไม่ได้ ธุรกิจยังสามารถดำเนินต่อไปได้ แผน BCP จึงเป็นสิ่งจำเป็น ไม่ใช่ทางเลือก

4. ประเมินความเสี่ยงของ Third-Party (Third-Party Risk Assessment)

การเลือกใช้ SaaS หรือ Cloud Provider ไม่ควรดูแค่ฟีเจอร์หรือราคาถูก แต่ควร ประเมินความเสี่ยงของผู้ให้บริการอย่างสม่ำเสมอ และเข้าใจโครงสร้างการอัปเดตของพวกเขา เพื่อประเมินผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกับองค์กร เช่น การอัปเดตแบบ Global ที่อาจส่งผลกระทบในวงกว้างหากเกิดข้อผิดพลาด (Bug)

5. ใช้หลักการ Three Lines of Defense สร้างความมั่นใจอย่างเป็นระบบ

องค์กรควร วางโครงสร้างการตรวจสอบและควบคุมภายในให้เข้มแข็ง ตามหลักการ IT Security (Three Lines of Defense) เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อเกิดปัญหาจากภายนอก เรามีกระบวนการภายในที่พร้อมรับมือและสามารถประเมินความเสียหายได้อย่างทันท่วงที

“การเตรียมความพร้อมเหล่านี้ไม่ใช่แค่เรื่องของเทคนิค แต่เป็นเรื่องของการสร้างความเชื่อมั่นให้กับลูกค้าและคู่ค้า ในฐานะผู้นำด้านไซเบอร์ซีเคียวริตี้ ไซเบอร์จีนิคส์ พร้อมให้คำปรึกษาและสนับสนุนองค์กรไทยในการวางแผน BCP และการประเมินความเสี่ยง Third-Party เพื่อเสริมสร้างความมั่นคงปลอดภัยและความต่อเนื่องทางธุรกิจในทุกสถานการณ์” นายอัตพล กล่าวสรุป

- Advertisement -