บล.พาย:
BANKING พื้นฐานแกร่ง แม้การเติบโตมีความท้าทาย (NEUTRAL)
TOP PICK: KKP SCB
เศรษฐกิจไทยในปี 2026 ท้าทายมากขึ้น จากนโยบายภาษีของสหรัฐกระทบการส่งออกชะลอตัว ขณะที่การออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่มีข้อจำกัดภายใต้รัฐบาลรักษาการที่คาดว่าอาจต้องรอถึงใน 2H26 กว่าจะมีมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจใหม่ภายใต้รัฐบาลจากการเลือกตั้ง เศรษฐกิจไทยในช่วง 4Q25 ถึง 2Q26 ยังต้องการแรงสนับสนุนจากการผ่อนคลายทางการเงิน เราคาด กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงอีก 0.25% เหลือ 1% ในช่วง 1H26 เพื่อช่วยพยุงเศรษฐกิจ โดยคาดกำไรสุทธิรวมในปี 2026 แนวโน้มลดลงราว 2% ในปี 2026 จากการขยายตัวราว 5-6% ในปี 2025 อย่างไรก็ดี พื้นฐานของกลุ่มธนาคารยังแข็งกร่ง ผลตอบแทนเงินปันผลสูง และโครงการซื้อหุ้นคืนช่วยลดความผันผวนของราคาหุ้น ขณะที่ Valuation ของกลุ่มธนาคารซื้อขายที่ 0.7x PBV’26E (-0.5SD ของค่าเฉลี่ย 10 ปี) น้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” เลือก KKP SCB เป็นหุ้นเด่น
เศรษฐกิจท้าทายมากขึ้นในปี 2026 ต้องอาศัยนโยบายผ่อนคลายทางการเงินช่วยพยุง
- ธนาคารแห่งประเทศไทยคาดอุทกภัยในพื้นที่ภาคใต้ส่งผลกระทบต่อจีดีพีไทยราว 0.1-0.2% และต้องใช้เวลาอย่างน้อยถึงใน 1Q26 โดย ธปท. คาดเศรษฐกิจไทยเติบโต 2.2% ในปี 2025 แต่จะขยายตัวลดลงเหลือ 1.5% ในปี 2026 เนื่องจากการส่งออกแนวโน้มชะลอตัวลงมาก และภาระหนี้ครัวเรือนที่สูงกดดันกำลังซื้อชะลอตัวลง เรามองว่าจะเป็นปัจจัยหลักกดดันการขยายตัว สินเชื่อของกลุ่มธนาคารแนวโน้มลดลง 2-3% ในปี 2025 ก่อนจะฟื้นตัวที่ 1-1.5% ในปี 2026
- ภาตใต้แรงกดดันทางเศรษฐกิจ คาดคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) จำเป็นต้องดำเนินนโยบายผ่อนคลายต่อเนื่อง โดยคาดว่า กนง. จะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายลงอีก 1 ครั้ง เหลือ 1% สิ้นปี 2026 หลังจากได้ปรับลดดอกเบี้ยลง 4 ครั้งในปี 2025 เพื่อช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจ และลดภาระของลูกหนี้ ท่ามกลางแรงกดดันกดดันจากอัตราเงินเฟ้อลดลง
กำไรสุทธิใน 9M25 แข็งแกร่ง ส่งผลให้กำไรในปี 2025 คาดเติบโต 6%
- กำไรสุทธิรวมของธนาคาร 9 แห่งในการดูแลของเราใน 9M25 เติบโต 8% YoY ที่ 185.6 พันล้านบาท เนื่องจาก (1) รายได้ที่มิใช่ดอกเบี้ยสูงขึ้น โดยเฉพาะจากกำไรพอร์ตลงทุนปรับเพิ่มขึ้น (2) ค่าใช้จ่ายการดำเนินงานลดลง และ (3) สำรองหนี้ฯ ลดลง แม้ว่ารายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงกดดันจากสินเชื่อ และส่วนต่างดอกเบี้ยสุทธิ (NIM) ลดลง
- แม้คาดกำไรสุทธิ์ใน 4Q25 ปรับลดลง QoQ เพราะกำไรจากพอร์ลงทุนลดลง และค่าใช้จ่ายการดำเนินงานสูงขึ้นจากปัจจัยฤดูกาล เราคาดกำไรสุทธิรวมในปี 2025 เติบโตต่อเนื่องราว 5-6% ชะลอตัวจากเติบโต 9% ในปี 2024
NIM ลดลง และกำไรพอร์ตลงทุนลดลงกดดันกำไรสุทธิปี 2026
- ในปี 2026 คาดกำไรสุทธิรวมจะปรับลดลง 2% เนื่องจาก (1) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิลดลงจาก NIM ที่ลดลงล้อกับวัฐจักรดอกเบี้ยขาลง และสินเชื่อขยายตัวจำกัด (2) กำไรพอร์ตลงทุนลดลง เพราะฐานสูงในปี 2025 อย่างไรก็ดี ธนาคารสามารถลดสำรองหนี้ฯลง หลังจากการควบคุมหนี้เสียได้ตามเป้าหมาย และระดับ Coverage ratio สูงรองรับความไม่แน่นอน แต่เพราะกำไรที่มีแนวโน้มลดลง คาด ROE ของกลุ่มธนาคารจะปรับลดลงที่ 8.7% ในปี 2026 จาก 9.3% ในปี 2025
- ระดับเงินกองทุนที่แข็งแกร่ง ธนาคารสามารถรักษาการจ่ายเงินปันผลระดับสูง และทำโครงการซื้อหุ้นคืนช่วยจำกัดความผันผวนของราคาหุ้น โดยคาดอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงเฉลี่ยราว 6.2% ในปี 2026 ใกล้เคียงในปี 2025
น้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” แม้เติบโตไม่เด่น แต่พื้นฐานแกร่งและเงินปันผลสูง
- เราให้น้ำหนักการลงทุน “เท่ากับตลาด” เพราะความท้าทายทางเศรษฐกิจไทย และหนี้ครัวเรือนระดับสูง เป็นข้อจำกัดในการขยายตัวของสินเชื่อ ขณะที่ NIM อ่อนแอลงจากวัฐจักรดอกเบี้ยขาลง กดดันการเติบโตในปี 2026 อย่างไรก็ดี งบดุลแข็งแกร่งจากที่มีระดับสำรองหนี้ฯ และเงินกองทุนสูงรองรับความไม่แน่นอน ธนาคารสามารถบริหารเงินกองทุนอย่างมีประสิทธิภาพ ผ่านการจ่ายเงินปันผลสูง และโครงการซื้อหุ้นคืนเป็นปัจจัยช่วยลดความผันผวนของราคาหุ้นในช่วงที่ความสามารถทำกำไรชะลอตัว และมีความไม่แน่นอนจากปัจจัยภายนอก เลือก SCB เป็นหุ้นเด่น (1) ผลตอบแทนเงินปันผลสูงสุดในกลุ่มธนาคาร (2) งบดุลแข็งแกร่ง และ (3) ROE สูง สะท้อนการจัดการเงินกองทุนที่มีประสิทธิภาพ และ KKP (1) คาดกำไรสุทธิในปี 2026 ขยายตัว (2) ผลกระทบจากปัญหาการขาดทุนรถ ยึดลดลงทำให้มีแนวโน้มผ่อนคลายสำรองหนี้ฯ ลงได้ (3) ผลตอบแทนเงินปันผลสูง และ (4) ROE แนวโน้มปรับสูงขึ้นในปี 2026








