บล.พาย:

CENTEL: ภาพรวมที่สดใสตั้งแต่ปี 2022

ให้น้ำหนักเป็นบวกสำหรับการประชุมนักวิเคราะห์ คาด EBITDA ปี 2022 จะโตขึ้น 78%YoY หนุนจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในธุรกิจโรงแรม โดยเฉพาะในมัลดีฟส์และดูไบ คงคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 43.0 บาท คำนวณด้วยวิธีคิดลดเงินสด (DCF) (WACC 10%, TG of 2%) อิง 31.7xPE’23

  • EBITDA ใน 4Q21 แตะจุดสูงสุดตั้งแต่ 1Q20 ที่ 977 ล้านบาท (+113%YoY, +307%QoQ) หนุนจากการฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งในธุรกิจโรงแรม โดยเฉพาะในมัลดีฟส์และดูไบ
  • บริษัทมีแผนเปิดให้บริการโรงแรมใหม่ 39 แห่ง ด้วยจำนวนห้อง 8,038 ห้องภายในปี 2025 และร้านอาหารใหม่ 200-250 สาขาจากแบรนด์ในพอร์ต และแบรนด์ร่วมทุนในปี 2022 ซึ่งคาดว่าจะช่วยกระตุ้นทิศทางกำไรได้ในช่วงปลายปี 2022 และปี 2023
  • คาดกำไรจะกลับสู่ระดับก่อนเกิดโควิด-19 ได้ในปี 2023 และประเมินว่ากิจการจะกลับสู่วัฏจักรการเติบโตได้ใน 3 ปีข้างหน้า หนุนจากการฟื้นตัวที่แข็งแกร่งในธุรกิจการท่องเที่ยวและโรงแรมทั่วโลก และแผนการขยายจำนวน ห้องหลังวิกฤติโควิด-19

ภาพรวมธุรกิจโรงแรม

  • กิจการในมัลดีฟส์มีการเติบโตที่แข็งแกร่ง หลังกลับมาเปิดประเทศตั้งแต่เดือน ก.ค. 2021 มีกลุ่มนักท่องเที่ยวอินเดียและรัสเซียเป็นแรงหนุน
  • การเปิดตัวโรงแรมใหม่ในดูไบตั้งแต่เดือน ต.ค. 2021 ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี
  • อัตราการเข้าพักโรงแรมในมัลดีฟส์และดูไบโตต่อเนื่อง YTD ที่ 85% และ 60% ตามลำดับ
  • บริษัทมีแผนเปิดตัวโรงแรมใหม่ทั้งในส่วนที่เป็นเจ้าของเองและร่วมทุน ด้วยจำนวนห้อง 955 ห้อง และโรงแรมที่เข้าไปบริหารจัดการ 35 แห่งด้วยจำนวนห้อง 7,083 ห้องภายในปี 2025 ซึ่งจะมุ่งเน้นไปยังพื้นที่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ (60% ของจำนวนห้องที่อยู่ในแผนงาน)
  • คาด EBITDA ปี 2022 ของธุรกิจโรงแรมจะพลิกเป็นบวก หนุนจากผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งในมัลดีฟส์และดูไบ ซึ่งปัจจุบันแตะจุดคุ้มทุนในเชิง EBITDA บวกกับผลการดำเนินงานที่ดีขึ้นในไทย หลังมีการผ่อนปรนมาตรการควบคุมการเดินทาง

ภาพรวมธุรกิจอาหาร

  • บริษัทตั้งเป้าที่จะดึงลูกค้ากลุ่มทานอาหารในร้านกลับมาเพื่อกระตุ้นการเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG)
  • บริษัทคาดว่าจะเพิ่มแบรนด์เข้าพอร์ตอีก 2-3 แบรนด์ และมีแผนเปิดร้านใหม่ 200-250 สาขาในส่วนของแบรนด์ที่มีอยู่และแบรนด์ร่วมทุนด้วย เป้าหมาย SSSG ที่ 10%-15% ในปี 2022
  • คาดธุรกิจอาหารจะโตต่อเนื่องในปี 2022 หนุนจากการคลายล็อกดาวน์ในไทย

สรุปผลประกอบการ

  • กำไรสุทธิ 4Q21 อยู่ที่ 152 ล้านบาท เทียบกับขาดทุนปกติที่ 142 ล้านบาทใน 4Q20 และขาดทุนสุทธิ 803 ล้านบาทใน 3Q21
  • EBITDA 4Q21 อยู่ที่ 977 ล้านบาท (+113%YoY, +307%QoQ) หนุนจากธุรกิจโรงแรมที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง

ธุรกิจโรงแรม

  • EBITDA 4Q21 ในธุรกิจโรงแรมพลิกมาอยู่ในแดนบวกที่ 293 ล้านบาท หลังติดลบมา 7 ไตรมาส
  • การเติบโตที่มีนัยสำคัญใน 4Q21 มีแรงหนุนจากกิจการในมัลดีฟส์ที่ฟื้นตัวแข็งแกร่งหลังกลับมาเปิดประเทศตั้งแต่เดือน ก.ค. 2021 และการเปิดโรงแรมใหม่ในดูไบตั้งแต่เดือน ต.ค. 2021 ทำให้อัตรารายได้เฉลี่ยต่อห้องพักต่อคืน (RevPar) และอัตราการเข้าพักเพิ่มเป็น 1,680 บาท (102%YoY, +200%QoQ) และ 33% (27% ใน 4Q20 และ 16% ใน 3Q21) ตามลำดับ

ธุรกิจอาหาร

  • ธุรกิจอาหารพลิกมาเป็นกำไรที่ 184 ล้านบาทใน 4Q21 (+175%YoY เทียบขาดทุนสุทธิ 18 ล้านบาทใน 3Q21) หนุนจากการคลายล็อกดาวน์ ซึ่งทำให้การเติบโตของยอดขายสาขาเดิม (SSSG) โต 3%
  • บริษัทขาดทุนสุทธิทั้งปี 2021 ที่ 1.7 พันล้านบาท เทียบขาดทุนสุทธิ 2.8 พันล้านบาทใน 2020 ซึ่งเป็นผลจากการคุมต้นทุนที่มีประสิทธิภาพอย่างต่อเนื่อง

Revenue breakdown

บริษัทดำเนินธุรกิจอาหารและโรงแรม มีรายละเอียดดังนี้:

  • ธุรกิจอาหาร ปัจจุบันมีจำนวนสาขาทั้งสิ้น 1,389 สาขาทั่วไทยภายใต้แบรนด์ร้านอาหาร 15 แบรนด์ KFC, Pepper Lunch, Auntie Anne’s, Mister Donut, Chabuton, Cold Stone, The Terrace, Yoshinoya, Ootoya, Tenya, Katsuya, Aroi Dee, Suki House, Soft Air, Kowlune และ Salad Factory
  • ธุรกิจโรงแรม ปัจจุบันมีโรงแรมทั้งหมด 15 โรงแรม จำนวน 4,155 ห้องในไทยและมัลดีฟส์ อีกทั้ง บริษัทได้รับจ้างให้เป็นผู้ดำเนินกิจการและบริหารโรงแรมภายใต้สัญญาบริหารโรงแรม 23 โรงแรม จำนวน 4,041 ห้องในไทย เวียดนาม ศรีลังกา อินโดนีเซีย (บาหลี) โอมาน และกาตาร์ โดยโรงแรมทั้งหมดบริหารงานภายใต้แบรนด์ ดังนี้ Centara Reserve, Centara, Centara Grand, Centra by Centara, Centara Boutique Collection a COSI

 

- Advertisement -