บล.ทิสโก้:
บมจ. พีทีจี เอ็นเนอยี PTG
กระทบระยะสัน เตรียมความพร้อมในระยะยาว
ระยะสั้นยังมีแรงกดดัน ยังคงแนะนำ “ซื้อ” สำหรับระยะยาวคาดจะฟื้นตัวอย่างรวดเร็ว
จากการจัดงาน TISCO Exclusive Talk ผู้บริหาร PTG ยังคงมุมมองว่าสถานการณ์ราคาน้ำมันในปัจจุบันจะเป็นเพียงระยะสั้น และคาดผ่อนคลายลงในช่วงไตรมาส 2 โดยปัจจุบันบริษัทใช้กลยุทธ์ในการบริหารจัดการกำไร โดยการควบคุมค่าใช้จ่ายและการปรับราคาให้สอดคล้องกับต้นทุน รวมทั้งเร่งขยายธุรกิจ Non-oil เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” สำหรับ PTG แม้ว่าในระยะสั้นใน 1Q-2Q22 จะยังคงได้รับผลกระทบจากภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวอย่างต่อเนื่อง และราคาขายปลีกน้ำมันที่เริ่มกลับมาใกล้เคียงกับ 30 บาทอีกครั้ง แต่เรามองว่า PTG จะเป็นผู้เล่นที่ฟื้นตัวอย่างรวดเร็วหากสถานการณ์กลับมาเป็นปกติ จากบริษัทได้เตรียมความพร้อมทั้ง Oil และ Non-oil นอกจากนี้ บริษัทยังคงแผนการนำบริษัทลูกเข้าตลาดหลักทรัพย์ (ธุรกิจ LPG, Palm Complex) และแผนการลงทุนในธุรกิจ Non-oil อื่นๆ เพิ่มเติม ซึ่งคาดจะเห็นชัดเจนในครึ่งปีหลัง
ยังคงต้องติดตามสถานการณ์น้ำมันที่มีผลต่อปริมาณขายและค่าการตลาด
ผู้บริหารได้เปิดเผยปริมาณขายน้ำมัน ม.ค.-ก.พ. อ่อนตัว YoY ซึ่งคาดว่าเป็นผลมาจากราคาน้ำมันที่ปรับตัวสูงขึ้น ทำให้ผู้บริโภคชะลอการใช้น้ำมัน ในขณะที่ค่าการตลาดน้ำมันอยู่ในระดับที่ใกล้เคียงกับ ธ.ค. 21 ที่ 1.50-1.60 บาทต่อลิตร สูงกว่า 4Q21 ที่ 1.26 บาทต่อลิต รแต่ยังต่ำกว่า 1.84 บาทต่อลิตรใน 1Q21 ซึ่งบริษัทมองค่าการตลาดปี 2022F อยู่ที่ 1.70-1.80 บาทต่อลิตร โดยคาดสถานการณ์จะผ่อนคลาย และเข้าสู่ปกติในช่วงครึ่งปีหลัง สำหรับปีนี้ บริษัทเน้นธุรกิจ Non-oil มากขึ้นเพื่อเพิ่มสัดส่วนมาที่ 15-20% ของกำไรขั้นต้น (ปี 2021 อยู่ที่ 16%) โดยตั้งเป้าขยายสาขา Non-oil เป็น 1,320 จุด จากปัจจุบัน 922 จุด โดยจะเน้นการขยายสาขากาแฟพันธุ์ไทยเพิ่มอีก 150-200 สาขา (ขยายสาขาของบริษัทเอง 50 สาขา ที่เหลือเป็นสาขา franchise) และมีแผนลงทุนในธุรกิจอื่นๆ เพิ่มเติม เช่น พลังงานสะอาด และการใช้ฐานข้อมูลลูกค้าที่มีอยู่ต่อยอดขาย Digital Asset ซึ่งคาดจะเห็นใน 2022
หากสถานการณ์ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงจะส่งผลดีต่อบริษัท
เราคาดไตรมาส 1 จะพลิกฟื้นตัวจากขาดทุนใน 4Q21 แต่ยังคงอ่อนตัว YoY โดยเรามองว่าหากสถานการณ์ราคาน้ำมันปรับตัวลดลงจะส่งผลดีต่อบริษัท เช่นเดียวกับที่เกิดในปี 2018-19 ที่ค่าการตลาดอ่อนตัวใน 3Q-4Q18 หลังจากนั้นราคาน้ำมันปรับตัวลงใน 1Q19 ส่งผลให้ค่าการตลาดน้ำมันปรับตัวสูงขึ้นมาอยู่ระดับ 11.9-2 บาทต่อลิตร และด้วยปีนี้บริษัทมีสัดส่วนธุรกิจ Non-oil เพิ่มขึ้นมาที่ 15% ของกำไรขั้นต้น ซึ่งช่วยรองรับผลกระทบบางส่วน ดังนั้น หากสถานการณ์กลับมาดีขึ้น เราคาดจะเห็นการฟื้นตัวอย่างโดดเด่นสำหรับ PTG โดยเรายังคงประมาณการผลประกอบการปี 2022-24F คาดกำไรสุทธิอยู่ที่ 1,388 ล้านบาท (38% YoY), 1,671 ล้านบาท (20% YoY) และ 1,948 ล้านบาท (17% YoY) ตามลำดับ ทั้งนี้ ค่าการตลาดที่เปลี่ยนแปลงทุกๆ 0.1 บาทต่อลิตรจะส่งผลต่อกำไรสุทธิ 26%
มูลค่าที่เหมาะสม 16.70 บาท ยังคงแนะนำ “ซื้อ”
เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าที่เหมาะสมอยู่ที่ 16.70 บาท อิงจาก PER 20 เท่าปี 2022 โดยปัจจุบัน PEG ซื้อขายอยู่ที่ PER 17 เท่าปี 2022F
ปัจจัยเสี่ยงมาจาก 1) ราคาน้ำมันในตลาดโลกที่ปรับตัวขึ้นต่อเนื่อง กดดันต่อราคาขายปลีกน้ำมัน และค่าการตลาดน้ำมัน 2) ธุรกิจปาล์มคอมเพล็กซ์ที่ไม่เป็นไปตามคาด