เริ่มมองหาหุ้นปลอดภัยหรือที่สามารถส่งผ่านต้นทุน

จิตวิทยาการลงทุนโดยรวมอาจถูกถ่วงจากการปรับลดลงของหุ้นสหรัฐฯ ดัชนีหุ้นสหรัฐฯปรับลดลงแรงทั้ง DJIA (-3.57%), S&P500 (-4.73%) และ Nasdaq (-4.04%) จากความกังวลการเติบโตทางเศรษฐกิจระยะสั้นจะได้รับผลกระทบจากเงินเฟ้อ และต้นทุนอาหารและวัตถุดิบที่เพิ่มขึ้น ทั้งนี้อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่ปรับลดลงสะท้อนมุมมองของนักลงทุนที่กังวลถึงผลประกอบการบริษัทจดทะเบียนที่อาจชะลอตัว และนักลงทุนบางส่วนเลือกกระจายการลงทุนเข้าสู่ตราสารหนี้เพื่อประกันความเสี่ยงจากความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจในระยะ 1-2 เดือนนี้ ก่อนที่อาจจะกลับเข้าสู่การลงทุนในหุ้น จากแนวโน้มการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจที่อาจชะลอในระยะสั้นก่อนฟื้นตัวในครึ่งปีหลัง

เลือกหุ้นที่สามารถส่งผ่านต้นทุนหรือคงราคาสินค้าและบริการได้ การปรับลดลงของหุ้นสหรัฐฯ ส่วนหนึ่งถูกจุดประกายความกังวลจากการรายงานผลประกอบการหุ้นกลุ่มค้าปลีก อาทิ Walmart (17 พ.ค.) และ Target (18 พ.ค.) ที่ผลประกอบการปรับลดลง 24% และ 48% ตามลำดับ อย่างไรก็ตาม หากดูในรายละเอียดจะเห็นรายได้ยังคงมีการเติบโตในระดับ 2-3% แต่ต้นทุนสินค้าและค่าขนส่งที่เพิ่มเป็นปัจจัยหลักที่กดดันต่ออัตรากำไร ดังนั้นในมุมมองของเรา กำลังซื้อผู้บริโภคโดยรวมยังดูดี แต่นักลงทุนอาจจะต้องเริ่มมองหาธุรกิจที่มีความแข็งแกร่ง และมีความสามารถในการส่งผ่านต้นทุนให้ลูกค้า หรืออย่างน้อยสามารถคงราคาสินค้าและบริการได้ ซึ่งในไทย ได้แก่ หุ้นกลุ่มการแพทย์ โรงไฟฟ้าขนาดใหญ่ และกลุ่มขนส่งทางราง ซึ่งได้ผลดีจากการเปิดภาคเรียนด้วย โดยหุ้นที่เราชอบ ได้แก่ EGCO, RATCH, BEM, BTS / ขณะที่กลุ่มการแพทย์ เรามองรอทยอยสะสมเมื่ออ่อนตัว หลังราคาหุ้นในกลุ่มส่วนใหญ่ตอบรับปัจจัยบวกและผลดีจากการระบาดของโควิดแล้ว และมีโอกาสเห็นการชะลอของผลประกอบการเพื่อกลับสู่ระดับกำไรปกติ (Nomalization)

ประเด็นเก็งกำไรอื่น

1) กลุ่มเครื่องดื่ม อาทิ OSP, CBG, ICHI, SAPPE

2) กลุ่มท่องเที่ยว CENTEL, ERW, MINT, BAFS, AAV, SHR

3) กลุ่มเปิดเมือง CPALL, MAKRO

4) กลุ่มมีลุ้นเข้า SET50 ได้แก่ JMT, JMART

5) กอง REIT ได้แก่ FIREIT, WHART

6) ขณะที่หุ้นกลาง-เล็กที่สามารถเลือกเก็งกำไร (แบบ กำหนดจุดตัดขาดทุน) ในช่วงนี้ ได้แก่ THREL, BLA, MAJOR, TH, SCN, SCI, CMR, TKN, SPA เป็นต้น

7) หุ้นกลุ่มเก็งราคาน้ำมันลง SCGP, BJC, EPG, SCC

8) หุ้นเด่นกลุ่มพลังงาน OR

ภาพรวมกลยุทธ์: แกว่งตัวหากไม่หลุด 1,605 จุด จะยังมีลุ้นขึ้นทดสอบ 1,630-1,640 จุด (ความเสี่ยงทางลงกรณีหลุดคือ 1,540 จุด) ยังคงกลยุทธ์เลือกเก็งกำไรระหว่างรอจุดซี้อที่ดี (ธีมบาทอ่อน ราคาอาหารขึ้น / ผลตอบแทนพันธบัตรปรับลง / หุ้นที่สามารถส่งผ่านต้นทุน) โดยเน้นในหุ้นใหญ่พื้นฐานดีที่ valuation ไม่แพงหรือกระแสเงินสดสูงที่สามารถจํากัด downside risk ได้เป็นหลัก และใช้จังหวะปรับลดลงแรงในการทยอยซี้อ หรือสะสมรายตัว //

หุ้นแนะนํา: BTS*, OR*, KSL*

แนวรับ: 1,605 / แนวต้าน : 1,630-1,640 จุด สัดส่วน : เงินสด 50% : พอร์ตหุ้น 50%

ประเด็นการลงทุน

  • สหรัฐเผยตัวเลขเริ่มต้นสร้างบ้านลดลงมากกว่าคาด – กระทรวงพาณิชย์สหรัฐ เปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านลดลง 0.2% ในเดือนเม.ย. สู่ระดับ 1.724 ล้านยูนิต ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงสู่ระดับ 1.765 ล้านยูนิต
  • สหรัฐเผยจํานวนผู้ขอสินเชื่อจำนองลดลง แม้ดอกเบี้ยเงินกู้ปรับตัวลง – จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการจำนองลดลง 11% ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองในระดับสูง แม้ปรับตัวลงในสัปดาห์ที่แล้ว
  • อังกฤษเผยเงินเฟ้อพุ่ง 9% ในเดือนเม.ย. สูงสุดในรอบ 40 ปี – ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอังกฤษพุ่งแตะระดับ 9% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี เนื่องจากราคาอาหารและพลังงานเพิ่มสูงขึ้น
  • เกิดการประท้วงของคนงานเหมืองถ่านหินในโมซัมบิก – คนงานกว่า 500 คน หรือคิดเป็น 10% ของเหมืองถ่านหินในโมซัมบิก ดำเนินงานโดยบริษัทลูกของบริษัทในอินเดีย ประท้วงเพื่อเรียกร้องเงินชดเชย ส่งผลให้ปริมาณการผลิตถ่านหินลดลง
  • อินโดฯ ยกเลิกคำสั่งสวมหน้ากากอนามัยนอกอาคาร – หลังจำนวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 มีแนวโน้มลดลงช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา
  • แบงก์เวียดนามพร้อมใจขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก – ธนาคารหลายแห่งในเวียดนามขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 0.1% – 0.5% ท่ามกลางอุปสงค์เงินทุนที่เพิ่มสูงขึ้นและแรงกดดันเงินเฟ้อ โดยแตะระดับสูงสุดที่ 6.5% – 7.4 ที่ผ่านมา
  • SCB รีวิวราคาซื้อ’ บิทคับ แนวโน้มต่ำ 1.7 หมื่นล้าน – ฉวยจังหวะตลาดคริปโต ป่วนต่อรองราคาซื้อหุ้นบิทคับ มั่นใจดีลจบไตรมาส 3/65
  • FTI หุ้น IPO เทรดวันแรกวันนี้ – เทรด SET ผู้นำผลิตภัณฑ์ระบบบำบัดน้ำครบวงจร
  • คาดเข้า/ออก SET50 – คาดเข้า JMT, JMART, BLA /คาดออก RATCH, STGT, KCE
  • ประเด็นติดตาม: 19 พ.ค. – US Existing Home Sales, US Initial Jobless Claims, US Fed Manufacturing Index, China PBOC Loan Prime Rate / 24 พ.ค. – US New Home Sales, US Services PMI / 25 พ.ค. – US Core Durable Goods Orders, FOMC Meeting Minutes

ประเด็นลงทุนสําหรับหุ้นแนะนำ

  • เก็งกำไร BTS* (10.40) : แนวโน้มผลประกอบการฟื้นตัวจากการเปิดเมืองและเปิดเทอม ตัดขาดทุน 9.00 บาท
  • เก็งกำไร OR* (31) : คาดผลประกอบการทยอยฟื้นตัวในช่วงสองถึงสามไตรมาสถัดไป ตัดขาดทุน 23.75 บาท
  • เก็งกำไร KSL* (4.40) : โรงงานในบราซิลเลือกนำน้ำตาลไปผลิตเอทานอล ส่งผลให้น้ำตาลทรายอาจขาดตลาด และมีราคาสูงขึ้น ตัดขาดทุน 3.50 บาท

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)

Market News & Factors

  • ตลาดหุ้นสหรัฐ – ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดร่วงลงกว่า 1,100 จุดในวันพุธ (18 พ.ค.) ซึ่งเป็นการทรุดตัวลงในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดนับตั้งแต่เดือน มิ.ย. 2563 เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าภาวะเงินเฟ้อในสหรัฐเริ่มส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทค้าปลีก นอกจากนี้ ตลาดยังถูกกดดันจากการที่นายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ยืนยันว่า เฟดไม่ลังเลที่จะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยสูงสุดเท่าที่จำเป็นเพื่อสกัดเงินเฟ้อ (อินโฟเควสท์)
  • ตลาดหุ้นยุโรป – ตลาดหุ้นยุโรปปิดลดลงในวันพุธ (18 พ.ค.) นำโดยหันกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งถูกเทขายออกมา เนื่องจากนักลงทุนความวิตกอีกครั้งเกี่ยวกับภาวะเงินเฟ้อ และการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย (อินโฟเควสท์)
  • ตลาดหุ้นญี่ปุ่น – ดัชนีนิกเกอิตลาดหุ้นโตเกียวปิดปรับตัวขึ้น 4 วันทำการติดต่อกัน เนื่องจากนักลงทุนได้เข้าซื้อหุ้นด้านการท่องเที่ยว ด้วยความหวังที่ว่าอุปสงค์ด้านการเดินทางจะฟื้นตัว หลังจากรัฐบาลญี่ปุ่นเปิดเผยว่าจะเริ่มทดลองรับกรุ๊ป ทัวร์ต่างชาติขนาดเล็กในปลายเดือนนี้ (อินโฟเควสท์)
  • ตลาดน้ำมัน – สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดร่วงลงติดต่อกันเป็นวันที่ 2 ในวันพุธ (18 พ.ค.) หลังมีรายงานว่าโรงกลั่นน้ำมันในสหรัฐเร่งเพิ่มการผลิตเพื่อรับมือกับสต็อกที่ลดลงอย่างมาก นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังปรับตัวลงตามทิศทางตลาดหุ้นสหรัฐที่ทรุดตัวลงอย่างหนักเนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับวิกฤตเงินเฟ้อ (อินโฟเควสท์)
  • สหรัฐเผยตัวเลขเริ่มต้นสร้างบ้านลดลงมากกว่าคาด – กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยว่า ตัวเลขการเริ่มต้นสร้างบ้านลดลง 0.2% ในเดือนเม.ย. สู่ระดับ 1.724 ล้านยูนิต ขณะที่นักวิเคราะห์คาดว่าลดลงสู่ระดับ 1.765 ล้านยูนิต (อินโฟเควสท์)
  • สหรัฐเผยจำนวนผู้ขอสินเชื่อจํานองลดลง – จำนวนผู้ยื่นขอสินเชื่อเพื่อการจำนองลดลง 11% ในสัปดาห์ที่แล้ว โดยได้รับผลกระทบจากอัตราดอกเบี้ยเงินกู้จำนองในระดับสูง แม้ปรับตัวลงในสัปดาห์ที่แล้ว (อินโฟเควสท์)
  • อังกฤษเผยเงินเฟ้อพุ่ง 9% ในเดือนเม.ย. สูงสุดในรอบ 40 ปี – ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) ของอังกฤษพุ่งแตะระดับ 9% ในเดือนเม.ย. เมื่อเทียบรายปี เนื่องจากราคาอาหารและพลังงานเพิ่มสูงขึ้น (อินโฟเควสท์)
  • เกิดการประท้วงของคนงานเหมืองถ่านหินในโมซัมบิก – คนงานกว่า 500 คน หรือคิดเป็น 10% ของเหมืองถ่านหินในโมซัมบิก ดำเนินงานโดยบริษัทลูกของบริษัทในอินเดีย ประท้วงเพื่อเรียกร้องเงินชดเชย ส่งผลให้ปริมาณการผลิตถ่านหินลดลง (Reuters)
  • อินโดฯ ยกเลิกคำสั่งสวมหน้ากากอนามัยนอกอาคาร – หลังจํานวนผู้ป่วยโรคโควิด-19 มีแนวโน้มลดลงช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา (อินโฟเควสท์)
  • แบงก์เวียดนามพร้อมใจขึ้นดอกเบี้ยเงินฝาก – ธนาคารหลายแห่งในเวียดนามขึ้นอัตราดอกเบี้ยเงินฝาก 0.1% – 0.6% ท่ามกลางอุปสงค์เงินทุนที่เพิ่มสูงขึ้น และ แรงกดดันเงินเฟ้อ โดยแตะระดับสูงสุดที่ 6.5% – 7.4% ที่ผ่านมา (อินโฟเควสท์)
  • SCB รีวิวราคาซื้อ’ บิทคับ แนวโน้มต่ำ 1.7 หมื่นล้าน – ฉวยจังหวะตลาดคริปโตป่วน ต่อรองราคาซื้อหุ้นบิทคับ มั่นใจดีลจบไตรมาส 3/65( ข่าวหุ้น)
  • FTI หุ้น IPO เทรดวันแรกวันนี้ – เทรด SET ผู้นำผลิตภัณฑ์ระบบบำบัดน้ำครบวงจร (ข่าวหุ้น)
  • คาดเข้า/ออก SET50 – คาดเข้า JMT, JMART, BLA // คาดออก RATCH, STGT, KCE (UOB KayHian)

Report & Corporate News

  • BEM Maintained BUY TP: 9.90 บาท – เราเห็นการฟื้นตัวของ BEM ที่โดดเด่นตั้งแต่ 2Q22 เป็นต้นไป เนื่องจากปัจจัยทั้งหมดบ่งชี้ว่าการฟื้นตัวอย่างรวดเร็วของการจราจร และจำนวนผู้โดยสารกำลังจะเกิดขึ้น การควบคุมต้นทุนอย่างมีประสิทธิภาพที่ BEM ได้ดำเนินการตั้งแต่เกิดการระบาดของ COVID-19 เป็นอีกหนึ่ง catalyst สําหรับการฟื้นตัว นอกจากนี้ BEM ยังมี upside risk จากโครงการระยะยาวใหม่เพิ่มขึ้น คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย: 9.90 บาท
  • CHG Upgraded HOLD TP: 3.40 บาท – CHG คาดว่าส่วนแบ่งกำไรจากจากรายการที่เกี่ยวข้องกับ COVID-19 จะลดลงตั้งแต่ 2Q22 เป็นต้นไป อย่างไรก็ตาม สิ่งที่ทำให้บริษัทสามารถมุ่งเน้นไปที่กลยุทธ์การเติบโตในระยะยาวได้ เราคาดว่า CHG จะได้รับประโยชน์จากจำนวนสมาชิก SSO ที่สูงขึ้น และฐานผู้ป่วยที่ใหญ่ขึ้นจากโรงพยาบาลใหม่ แม้ว่าตลาดจะรับรู้ถึงกำไรที่ลดลงบางส่วนแล้ว แต่ราคาหุ้นของ CHG ยังคงมี upside ที่จำกัดจากการประเมินมูลค่าหลัง COVID-19 ปรับเพิ่มคําแนะนําเป็น ถือ ราคาเป้าหมาย 340 บาท
  • TIDLOR Maintained BUY TP: 48.00 บาท – กำไรสุทธิ 1Q22 ของ TIDLOR คิดเป็น 24% ของประมาณการกำไรสุทธิปี 2022 ของเรา เราคาดว่ากำไรปี 2022 จะเติบโต 24% yoy เนื่องจาก: a) แนวโน้มการเติบโตของสินเชื่อที่แข็งแกร่ง b) รายได้ค่าธรรมเนียมที่เติบโตอย่างแข็งแกร่งจากธุรกิจนายหน้าประกันภัย และ c) อัตราส่วนต้นทุนต่อรายได้ที่ลดลงเนื่องจากการประหยัดจากขนาด คงคำแนะนำ ซื้อ ราคาเป้าหมาย: 48.00 บาท
  • TU – เตรียมงบลงทุนราว 269 ล้านบาท ร่วมทุนธุรกิจสาหร่ายในแคนาดา หวังต่อยอด เพิ่มมูลค่า เผยอยู่ระหว่างศึกษาเรื่องกลั่นน้ำมันสาหร่ายในเยอรมนี (ทันหุ้น)
- Advertisement -