บล.พาย:

BGC บมจ. บีจี คอนเทนเนอร์ กล๊าส “ยังเน้นธุรกิจบรรจุภัณฑ์”

ให้น้ำหนักเป็นกลางต่อการเยี่ยมชมโรงงาน BVP และ BGP เมื่อวานนี้ (29 มิ.ย.) แม้เล็งเห็นศักยภาพการเติบโตแต่เชื่อว่าทั้ง 2 โครงการจะยังมีบทบาทสำคัญต่อการเติบโตในปี 2022-23 บริษัทตั้งเป้าหมายยอดขายที่ 2.5 หมื่นล้านบาทภายในปี 2025 หรือโตเฉลี่ยต่อปี 19% ในช่วงปี 2021-25 นับเป็นเป้าหมายเชิงรุกและค่อนข้างท้าทาย คงคำแนะนำ “ถือ” มูลค่า พื้นฐานที่ 10.50 บาท (15.9xPE22E) อัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่น่าดึงดูด 4% และ upside จากดีล M&A อาจเอื้อโอกาสในการเทรด

ให้น้ำหนักเป็นกลางต่อการเยี่ยมชมโรงงาน

เมื่อวานมีการเยี่ยมชมโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษ BVP ที่ปทุมธานีและโรงผลิตบรรจุภัณฑ์ PET และฟิล์มพลาสติก BGP ในอยุธยา ทั้ง 2 โครงการมีรายได้และกำไรสุทธิรวมที่ 1.5 พันล้านบาท และ 72 ล้านบาทในปี 2020 หรือคิดเป็นสัดส่วน 13% และ 14% ของบริษัท ตามลำดับ แม้เล็งเห็นศักยภาพการเติบโต แต่เชื่อว่าทั้ง BVP และ BGP จะยังไม่มีบทบาทสำคัญต่อกำไรในปี 2022-23 อิงจากแรงกดดันต่ออัตรากำไรที่เป็นผลจากต้นทุนที่สูงขึ้นและความกังวลด้านคุณภาพ

เป้าหมายการเติบโตที่ท้าทาย ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ 2.5 หมื่นล้านบาทภายในปี 2025 หรือโตเฉลี่ยต่อปี 19% ในช่วงปี 2021-25 ผ่านกลยุทธ์การควบรวมกิจการด้านพลาสติก บรรจุภัณฑ์กระดาษ และฝาขวด โดยมีแผน M&A โครงการใหม่แล้วแต่ยังมีข้อมูลที่จำกัด ทั้งนี้ ด้วย net D/E ณ เดือน มี.ค. 2022 ที่ 1.2 เท่า และต้นทุนการซ่อมบำรุง ที่ 1.2 พันล้านบาท ด้วยเงินสดจากการดำเนินงานราว 2 พันล้านบาท เป้าหมายดังกล่าวจึงถือว่าท้าทาย นอกจากนี้ ธุรกิจปกติยังมีภาพที่ทรงตัว ด้วยอัตราการเติบโตของรายได้เฉลี่ยย้อนหลัง 4 ปีที่ 3% (2017-21)

ประเมินกำไร 2022 ลดลง QoQ

ประเมินกำไรปกติ 2022 ที่ 111 ล้านบาท (-11% YoY, -17%QoQ) ถูกฉุดลงจากอัตรากำไรที่อ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 14.5% (-0.4ppts QoQ) สืบเนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาพลังงาน (+9%QoQ) ที่คิดเป็น 30% ของต้นทุนรวม และต้นทุนวัตถุดิบ ทั้งนี้คาดว่ารายได้จะโต +4%QoQ จากปริมาณขายที่ดีขึ้นเล็กน้อย หนุนจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สูงขึ้น (แม้เป็นช่วง low season) ที่ได้รับแรงหนุนจากการคลายล็อกดาวน์ แต่ถูกหักลบจากราคาที่ทรงตัวในช่วงที่เงินเฟ้อสูงขึ้น เพราะความเหลื่อมด้านเวลาในการปรับราคาของ BGC ที่ 1-3 เดือน

คงคำแนะนำ “ถือ” เพราะแรงกดดันด้านต้นทุนที่สูงขึ้น

คงคำแนะนำ “ถือ” มูลค่าพื้นฐาน 10.50 บาทอิงจาก 15.9xPE22E หรือใกล้เคียง +1SD ต่อค่าเฉลี่ย 3 ปี คำแนะนำนี้สะท้อนภาพรวมที่ไม่สู้ดีสำหรับธุรกิจปกติ สืบเนื่องจากแรงกดดันด้านต้นทุนที่มีอย่างต่อเนื่อง แต่แนะนำให้เทรดเพราะหุ้นมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลที่น่าดึงดูดระดับ 4% พร้อมกับ upside จากดีล M&A ในอนาคต

ประเด็นสำคัญจากการเยี่ยมชมโครงการ

เมื่อวานมีการเยี่ยมชมโรงงานผลิตบรรจุภัณฑ์กระดาษ BVP ที่ปทุมธานี และโรงผลิตบรรจุภัณฑ์ PET และฟิล์มพลาสติก BGP ในอยุธยา ซึ่งเป็นโครงการที่บริษัทเข้าซื้อจาก BG Group (บริษัทแม่ที่ถือหุ้นใน BGC อยู่ 72%) ไปเมื่อเดือน เม.ย. 2021 ด้วยมูลค่า 1.65 พันล้านบาท คิดเป็น 500 ล้านบาทสำหรับ BVP และ 1.15 พันล้านบาทสำหรับ BGP ทั้ง 2 โครงการมีรายได้และกำไรสุทธิรวมที่ 1.5 พันล้านบาท และ 72 ล้านบาทในปี 2020 หรือคิดเป็นสัดส่วน 13% และ 14% ของบริษัท ตามลำดับ

แม้เล็งเห็นศักยภาพการเติบโตแต่เชื่อว่าทั้ง BVP และ BGP จะยังไม่มีบทบาทสำคัญต่อกำไรในปี 2022-23 อิงจากแรงกดดันต่ออัตรากำไรที่เป็นผลจากต้นทุนที่สูงขึ้นและความกังวลด้านคุณภาพ

1. คาดแรงกดดันด้านต้นทุนที่สูงขึ้นต่อเนื่อง ปัจจุบัน BVP และ BGP กำลังเผชิญกับอุปสรรคจากต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น (เยื่อกระดาษ กระดาษ เรซิ่นพลาสติก และอื่นๆ) ซ้ำเติมการที่ไม่สามารถส่งต่อภาระต้นทุนไปยังผู้บริโภคหน่วยสุดท้ายได้อยู่แล้ว เพราะความเหลื่อมด้านเวลาในการปรับราคา 1-3 เดือน บวกกับสภาวะการแข่งขันที่สูงในตลาด โดยในกรณีของ BVP พบว่าต้นทุนวัตถุดิบสำคัญได้ปรับเพิ่มขึ้น 14%YTD (70% 80% ต่อต้นทุนการขาย (COGS)) อิงข้อมูลจากผู้บริหาร ทั้งนี้ บริษัทกำลังพยายามลดต้นทุนการดำเนินงานแต่อาจส่งผลกระทบต่อการปรับลดต้นทุนโดยรวมในวงแคบ

2. ประเด็นสำคัญที่ต้องติดตามคือการยกระดับคุณภาพอัตราการดำเนินงานปัจจุบันของ BVP อยู่ที่ 70% โดยมีแผนเพิ่มเป็น 84% ภายในปี 2023 และเต็มกำลังภายในปี 2024 ข้อมูลจากการเยี่ยมชมโครงการระบุว่าในอดีตเคยประสบปัญหาการควบคุมคุณภาพในกระบวนการผลิตที่เกิดขึ้น จากปัจจัยมนุษย์และอื่นๆ ผู้จัดการโรงงานคนใหม่ (ย้ายมาจากโรงงานในอยุธาเมื่อ 4 เดือนก่อน) จะเข้ามาบริหารงานที่ท้าทายดังกล่าว แผนการบริหารจัดการใหม่ที่จะมารับมือกับประเด็นดังกล่าวถือว่าน่าประทับใจ ปัจจุบัน BVP คือซัพพลายเออร์เบอร์ 5 ของ BG Group ขณะที่พยายามขึ้นมาแข่งกับเบอร์ 1 อย่าง SCG ทั้งในแง่ของคุณภาพและปริมาณ

ถ้า BVP และ BGP สามารถแก้ไขปัญหาข้างต้นได้ ก็เชื่อว่ามีศักยภาพการเติบโตที่แข็งแกร่งในระยะยาว เพราะทั้ง 2 โรงงานต่างได้รับคำสั่งซื้อจาก BG และ BGC อยู่แล้ว คิดเป็น 40%-80% ของยอดขายรวมน่าจะเพียงพอต่อการสร้างผลตอบแทนด้านกระแสเงินสดเชิงบวกและหนุนให้ BG Group ขยายการขายไปนอกเครือข่ายของตนได้ ซึ่งจะช่วยให้ BGC พึ่งพากลุ่มน้อยลงได้ เพราะปัจจุบันส่วนแบ่งยอดขายราว 67% จาก BG Group

เป้าหมายการเติบโตที่ท้าทาย ต้องใช้เวลาเป็นเครื่องพิสูจน์

บริษัทตั้งเป้าหมายรายได้ 2.5 หมื่นล้านบาทภายในปี 2025 (โตขึ้น 2 เท่าจากปี 2021) หรือโตเฉลี่ยต่อปี 19% ในช่วงปี 2021-25 ผ่านกลยุทธ์การควบรวมกิจการด้านพลาสติก บรรจุภัณฑ์กระดาษ และฝาขวด นับเป็นเป้าหมายเชิงรุกเกินไปเพราะคาดว่าส่วนแบ่งยอดขายบรรจุภัณฑ์ที่ไม่ใช่แก้วจะเพิ่มขึ้นจาก 13% เป็น 35%-40% ของยอดขายรวมในปี 2025

ประเมินตลาดบรรจุภัณฑ์โลกโตราว 4% ในกรอบ 5 ปีช่วง 2021-26 หนุนจากอุปสงค์ที่โตขึ้นจากอุตสาหกรรมอาหารและเครื่องดื่มและกระแสในอุตสาหกรรมการแพทย์ ขณะที่มีการประเมินว่าตลาดบรรจุภัณฑ์และบรรจุภัณฑ์ยืดหยุ่นของไทยจะโต 5.9% (ค่าเฉลี่ย 1 ปีจากปี 2020-21) และ 6.2% ในช่วงปี 2022-27 ตามลำดับ

ด้วย net D/E ณ เดือน มี.ค. 2022 ที่ 1.2 เท่า และต้นทุนการซ่อมบำรุงที่ 1.2 พันล้านบาท ด้วยเงินสดจากการดำเนินงานราว 2 พันล้านบาท อาจนำไปสู่การเพิ่มทุน บริษัทยืนยันว่าอาจเพิ่มทุนจากสถานบันการเงินในประเทศโดยจะไม่ให้กระทบสิทธิผู้ถือหุ้น

เป้าหมายดังกล่าวถือว่าท้าทาย แต่จะติดตามพัฒนาการอย่างใกล้ชิด โดยเฉพาะประเด็น M&A ที่อาจเป็นปัจจัยสำคัญต่อศักยภาพการเติบโตที่ช่วยให้บรรลุเป้าหมายดังกล่าวได้

จับตาดูปริมาณใน 4Q22 ก่อนการซ่อมบำรุงโรงงานอยุธยาใน 1Q23

1. การซ่อมบำรุงโรงผลิตแก้วในอยุธยา (46% ของปริมาณรวม) จะเริ่มต้นใน 1Q23 และคาดว่าจะกลับมาเดินเครื่องต่อได้ใน 2Q23 ปริมาณของโรงงานจะได้รับการชดเชยจากสต็อกที่สูงขึ้นใน 4Q22 หรือเป็นการตุนล่วงหน้า 3 เดือน จึงเล็งเห็นความเสี่ยงในแง่ปริมาณการขายที่ดีกว่าคาดใน 4Q22 เพราะจะไปกระทบปริมาณสต็อกที่จะขายใน 1Q23 ในช่วงที่มีการปิดซ่อมบำรุง

2. การผลิตในโรงงานอยุธยาจะเพิ่มขึ้นจาก 320 ตัน/วันเป็น 400 ตัน/วัน แต่ยังไม่รวมกำลังการผลิตใหม่เข้ามาในประมาณการ

พรีวิวกำไร

ประเมินกำไรปกติ 2022 ที่ 111 ล้านบาท (-11% YoY,-17%QoQ) ถูกฉุดลงจากอัตรากำไรที่อ่อนตัวลงมาอยู่ที่ 14.5% (-0.4ppts QoQ) สืบเนื่องจากต้นทุนที่สูงขึ้นจากราคาพลังงาน (+9%QoQ) ที่คิดเป็น 30% ของต้นทุนรวม และต้นทุนวัตถุดิบ ทั้งนี้คาดว่ารายได้จะโต +4%QoQ จากปริมาณขายที่ดีขึ้นเล็กน้อย หนุนจากการบริโภคเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่สูงขึ้น (แม้เป็นช่วง low season) ที่ได้รับแรงหนุนจากการคลายล็อกดาวน์ แต่ถูกหักลบจากราคาที่ทรงตัวในช่วงที่เงินเฟ้อสูงขึ้น เพราะความเหลื่อมด้านเวลาในการปรับราคาของ BGC ที่ 1-3 เดือน

Revenue breakdown

  • BGC เป็นผู้ผลิตและจำหน่ายบรรจุภัณฑ์แก้วหลากหลายประเภทรวมถึง 1) ขวดเบียร์ (สัดส่วน 41% ของรายได้) 2) ขวดน้ำอัดลม (สัดส่วน 36% ของรายได้) 3) ขวดอาหารและขวดอาหารขนาดเล็ก (สัดส่วน 9% ของรายได้) และ 4) อื่นๆ (สัดส่วน 14% ของรายได้)
  • ขวดประเภทอื่นๆ นั้นรวมถึงภาชนะบรรจุเครื่องดื่มชูกำลัง สุรา ไวน์ ยาฆ่าแมลงและยา
  • ลูกค้าในประเทศคิดเป็น 91% ของยอดขาย และส่งออกผลิตภัณฑ์ไปยังตลาดต่างประเทศ เช่น ออสเตรเลีย นิวซีแลนด์ ลาว เวียดนาม เมียนมา ศรีลังกา อินเดีย และเกาหลีใต้
- Advertisement -