บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action BUY (Maintain)
TP upside (downside) +44.2%
Close Aug 11, 2022 Price (THB) 14.70
12M Target (THB) 21.20
Previous Target (THB) 21.20
What’s new?
- AJ รายงานกำไรปกติ 2Q65 ที่ 138 ล้านบาท เติบโต QoQ แต่ลดลง YoY ดีกว่าที่เราคาดราว 11% จากรายได้ที่สูงกว่าคาดการเติบโต QoQ มีสาเหตุหลักจากค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลง QoQ ขณะที่การลดลง YoY เป็นผลมาจาก GPM ที่ลดลงจากปีก่อนหลังต้นทุนวัตถุดิบมีความผันผวนมากขึ้น
- ปรับประมาณการปี 2565-2566 ลงเป็น 545 ล้านบาท และ 653 ล้านบาท ตามลำดับ จากการเลื่อนเปิดโรงงานในเวียดนาม (ผลกระทบจาก COVID-19) และการเลื่อน COD สายการผลิต BOPET ใหม่ออกไปเป็น 1Q66 จากเดิม 4Q65
Our view
- เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 3Q65 ในระดับ 140-150 ล้านบาท เติบโต QoQ และ YoY จาก 1) อัตรากำไรขั้นต้น ที่มีแนวโน้มฟื้นตัว QoQ และ YoY 2) ค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโรงงานใหม่เริ่มทยอยลดลงและ 3) ระดับการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย
- คงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ที่ 21.20 บาท/หุ้น โดยเรามองว่าที่ราคาปัจจุบันมี Downside จำกัดแล้ว จาก 1) ราคาหุ้นที่ซื้อขายอยู่บน PBV2565 เพียง 1.3x (เทียบเท่าค่าเฉลี่ยในอดีต) 2) การจ่ายเงินปันผล 1H65 จํานวน 0.38 บาท/หุ้น (Dividend Yield 2.6%)
A. J. PLAST PCL กำไรปกติ 2Q65 ดีกว่าคาด
กำไรปกติ 2Q65 ดีกว่าคาด
AJ รายงานกำไรสุทธิ 2Q65 ที่ 125 ล้านบาท (-12% QoQ, -26% YoY) หากหักรายการพิเศษออก กำไรปกติ 2Q65 อยู่ที่ 138 ล้านบาท (+7% QoQ, -27% YoY) ดีกว่าที่เราคาดไว้ราว 11% จากรายได้ที่สูงกว่าคาดราว 4% กำไรปกติสามารถฟื้นตัวได้ QoQ จาก 1) รายได้ที่เติบโต +2% QoQ สามารถชดเชยอัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง -10bps QoQ ได้และ 2) ค่าใช้จ่าย SG&A ที่ลดลง -6% QoQ หลังค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างโรงงานในเวียดนาม (เช่น ค่าดำเนินการ, ค่าเชื่อมต่อไฟฟ้า, ค่าลงทะเบียน ฯลฯ) ลดลง ขณะที่การลดลง YoY เป็นผลจาก 1) อัตรากำไรขั้นต้นที่ลดลง -156bps YoY เพราะราคาต้นทุนที่ผันผวนทำให้ประสิทธิภาพในการส่งผ่านต้นทุนลดลง และ 2) ค่าใช้จ่าย SG&A ที่สูงขึ้น +31% YoY เพราะมีค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการสร้างโรงงาน กำไรปกติ 1H65 คิดเป็นสัดส่วน 49% ของประมาณการทั้งปี
ปรับประมาณการปี 2565-2566 ลงจากการเลื่อนเปิดโรงงานในเวียดนาม
เราปรับประมาณการปี 2565-2566 ลง 6-7% เป็น 545 ล้านบาท (-10% YoY) และ 653 ล้านบาท (+20% YoY) ตามลำดับจาก 1) การเลื่อนกำหนดการเปิดโรงงานในเวียดนามเป็นปลาย 1Q66 (จากเดิม 4Q65) หลังสถานการณ์ COVID-19 ในเวียดนามทำให้การก่อสร้างล่าช้า 2) การเลื่อนกำหนดการ COD เครื่องผลิต BOPET ของโรงงานแห่งที่ 2 ในไทยกำลังผลิต 4 หมื่นตัน/ปี เป็น 1Q66 (จากเดิม 4Q65) หลังการส่งมอบชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์จากจีนล่าช้า (ผลจากการ Lockdown ในจีน) อย่างไรก็ตาม เครื่องผลิต BOPP กำลังผลิต 4 หมื่นตัน/ปี ในโรงงานดังกล่าวจะยัง COD ได้ตามแผนเดิม (ช่วงกลาง 4Q65)
กำไรปกติ 3Q65 มีแนวโน้มเติบโตทั้ง QoQ และ YoY
เบื้องต้นคาดกำไรปกติ 3Q65 ที่ 140-150 ล้านบาท เติบโตเล็กน้อย QoQ และฟื้นตัวเด่นจากฐานที่ต่ำ YoY โดยการเติบโต QoQ เป็นผลมาจากราคาวัตถุดิบที่มีความผันผวนน้อยลง QoQ จะช่วยให้บริษัทฯ สามารถส่งผ่านต้นทุนได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น และทำให้อัตรากำไรขั้นต้นฟื้นตัวได้ QoQ รวมถึงคาดค่าใช้จ่ายที่เกี่ยวข้องกับการก่อสร้างโรงงานจะเริ่มทยอยลดลง (ผ่านช่วงของการเชื่อมต่อระบบและการลงทะเบียนไปแล้ว) ขณะที่การเติบโตจากฐานที่ต่ำ YoY หนุนจาก 1) ปริมาณการบริโภคในประเทศที่ฟื้นตัวหลังสถานการณ์ COVID-19 คลี่คลาย และการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวช่วยหนุนการเติบโตของรายได้ YoY 2) กลุ่มลูกค้าหลักไม่ประสบปัญหาการแพร่ระบาดของ COVID-19 เหมือนปีก่อน ทำให้บริษัทฯไม่ต้องรับคำสั่งซื้อ Ad hoc ที่ได้รับอัตรากำไรขั้นต้นต่ำเข้ามาทดแทน อัตรากำไรขั้นต้นจึงมีโอกาสฟื้นตัวเด่น YoY
Valuation ไม่แพงและมีเงินปันผล 1H65 ช่วยจำกัด Downside
แม้เราจะมีการปรับประมาณการลงแต่ยังคงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2565 ที่ 21.20 บาท/หุ้น มี Upside +44.2% ราคาปัจจุบันซื้อขายอยู่บน PBV2565 ราว 1.3x เทียบเท่าค่าเฉลี่ย PBV ย้อนหลัง 10 ปี แต่ธุรกิจกำลังเข้าสู่ช่วงของการเติบโต (คาด ROE ปี 2566 เป็นระดับสูงที่สุดในรอบ 5 ปี) ทำให้ราคาหุ้นควรไปซื้อขายอยู่เหนือกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตเป็นอย่างน้อย นอกจากนี้บริษัทฯยังมีการจ่ายเงินปันผลระหว่างกาลจำนวน 0.38 บาท/หุ้น (Dividend Yield 2.6% และขึ้น XD วันที่ 25 ส.ค.) ช่วยจำกัด Downside คงคำแนะนำ “ซื้อ”







