บล.บัวหลวง:

Refining & Chemical – ค่าการกลั่นและส่วนต่างราคาปิโตรเคมีส่วนใหญ่ปรับตัวขึ้น

ค่าการกลั่นปรับตัวขึ้นต่อเนื่องในสัปดาห์ที่ผ่านมา หนุนโดยการขยายตัวของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ เรายังคงชอบ TOP มากที่สุดในหุ้นกลุ่มโรงกลั่น เนื่องจากการเป็นผู้ผลิตที่มีประสิทธิภาพด้านต้นทุนการผลิต ซึ่งจะส่งผลให้กำไรมีความไวต่อการปรับตัวสูงขึ้นของค่าการกลั่น อย่างไรก็ตาม การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกเป็นปัจจัยที่ต้องจับตามอง เนื่องจากอาจส่งผลกระทบเชิงลบต่อการฟื้นตัวของอุปสงค์ นอกจากนั้นความกังวลเกี่ยวกับการแทรกแซงของรัฐบาลในการลดค่าการกลั่นของโรงกลั่นของไทย อาจกดดันหุ้นโรงกลั่นไทยในระยะสั้น

ในสัปดาห์ที่แล้ว ราคาปิโตรเคมีเคลื่อนไหวหลายทิศทาง ในขณะที่ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีมีส่วนใหญ่ปรับตัวเพิ่มขึ้น หนุนโดยต้นทุนวัตถุดิบที่ลดลงอย่างมาก ทั้งนี้เรายังคงชอบ IVL มากที่สุด เนืองจากแนวโน้มการเติบโตแข็งแกร่งของกำไรหลักปี 2022 รวมทั้งมีอัพไซต์ต่อแนวโน้มการเติบโตระยะยาวจากการลงทุนและ/หรือการเข้าซื้อ กิจการใหม่

ค่าการกลั่นปรับตัวเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง WoW

ค่าการกลั่นอ้างอิงตลาดสิงคโปร์ปรับตัวขึ้นต่อเนื่องอีก 0.32 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 6.92 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล หนุนโดยการปรับตัวขึ้นของส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ส่วนใหญ่ อุปสงค์ในภูมิภาคที่แข็งแกร่งและอุปทานที่ลดลง เนื่องมาจากการปิดซ่อมบำรุงโรงกลั่นในประเทศเกาหลีใต้ ส่งผลให้ส่วนต่างราคาก๊าซโซลีนปรับตัวขึ้น 0.39 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 14.05 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อ SPRC มากที่สุด) นอกจากนี้ กิจกรรมการเดินทางทางอากาศที่เพิ่มขึ้น ส่งผลให้ส่วนต่างราคาน้ำมันเครื่องบินปรับตัวขึ้น 0.21 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 27.35 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล นอกจากนั้นต้นทุนน้ำมันดิบที่ลดลงและอุปสงค์ที่แข็งแกร่งขึ้นจากฝั่งตะวันออกกลาง ส่งผลให้ส่วนต่างราคานํามันเตาที่มีส่วนผสมของกํามะถันในระดับสูงปรับตัวขึ้น 2.97 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ -15.48 เหรียญ สหรัฐ/บาร์เรล (ยังคงแย่กว่าระดับปกติในช่วงก่อน IMO2020 ที่ติดลบ -4-5 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลค่อนข้างมาก)

ในทางตรงกันข้าม อุปทานที่เพิ่มขึ้นจากประเทศญี่ปุ่นและสด็อกในสิงคโปร์ที่เพิ่มขึ้นส่งผลให้ส่วนต่างราคาดีเซลให้ปรับตัวลง 0.42 เหรียญสหรัฐ Wow มาอยู่ที่ 28.99 เหรียญสหรัฐ/บาร์เรล (ส่งผลกระทบเชิงลบต่อ TOP มาก ที่สุด)

ส่วนต่างราคาเอธิลีนปรับตัวลดลง แต่ส่วนต่างราคาโพรพิลีนปรับตัวเพิ่มขึ้น WoW

ต้นทุนวัตถุดิบแนฟทาที่ปรับตัวลดลงและอุปสงค์ในเอเชียที่อ่อนตัวลงส่งผลให้ราคาเอธิลีนปรับตัวลง 35 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 820 เหรียญ สหรัฐ/ตัน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ในขณะที่คาดการณ์อุปทานที่อาจตึงตัว หนุนให้ราคาโพรพิลีนทรงตัว WoW อยู่ที่ 900 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบแนฟทาปรับตัวลง 33 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 676 เหรียญสหรัฐ/ตัน ส่วนต่างราคาเอธิลีนจึงปรับตัวลง 2 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 144 เหรียญสหรัฐ/ตัน (ส่งผลกระทบเชิงลบต่อ PTTGC มากที่สุด) แต่ส่วนต่างราคาโพรพิลีนปรับตัวขึ้น 33 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 224 เหรียญ สหรัฐ/ตัน (ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อ IRPC มากที่สุด)

ส่วนต่างราคา HDPE และส่วนต่างราคา PP ปรับตัวขึ้น WoW

ต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลงและแรงซื้อในภูมิภาคที่ชะลอตัวส่งผลให้ราคา HDPE ปรับตัวลง 10 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 1,050 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ขณะที่ต้นทุนวัตถุดิบโพรพิลีนที่ทรงตัว กอปรกับอุปทานที่ดึงตัวหนุนให้ราคา PP ปรับตัวขึ้น 10 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 1,020 เหรียญสหรัฐ/ต้น เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบแนฟทาปรับตัวลดลงมากกว่าราคาผลิตภัณฑ์ จึงส่งผลให้ส่วนต่างราคา HDPE เทียบกับแนฟทาปรับตัวขึ้น 23 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 374 เหรียญสหรัฐ/ตัน (ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อ PTTGC มากที่สุด) และส่วนต่างราคา PP เทียบกับแนฟทาปรับตัวขึ้น 43 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 344 เหรียญสหรัฐ/ตัน (ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อ IRPC มากที่สุด)

ส่วนต่างราคา MEG และส่วนต่างราคา PVC ปรับตัวขึ้น WoW

ต้นทุนวัตถุดิบที่ปรับตัวลดลงกอปรกับอุปทานที่มีจํานวนมากส่งผลให้ราคา MEG ปรับตัวลง 8 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 512 เหรียญสหรัฐ/ตัน ในสัปดาห์ที่ผ่านมา เนื่องจากต้นทุนเอธิลีนปรับตัวลดลงเร็วกว่าราคาผลิตภัณฑ์ ส่งผลให้ส่วนต่างราคา MEG ปรับตัวขึ้น 14 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ -5 เหรียญ สหรัฐ/ตัน (ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อ PTTGC มากที่สุด) ในขณะที่อุปสงค์ในภูมิภาคที่ปรับตัวดีขึ้นหนุนให้ราคา PVC ทรงตัว WoW อยู่ที่ 1,000 เหรียญสหรัฐ/ตัน เนื่องจากต้นทุนวัตถุดิบเอธิลีนปรับตัวลดลง ส่งผลให้ส่วนต่างราคา PVC ปรับตัวขึ้น 18 เหรียญสหรัฐ WoW มาอยู่ที่ 590 เหรียญสหรัฐ/ตัน (ส่งผลกระทบเชิงบวกต่อ PTTGC มากที่สุด)

คาดค่าการกลั่นปรับตัวสูงขึ้น YoY แต่ปรับตัวลดลง QoQ ในไตรมาส 3/65

อุปสงค์ในวงกว้างสำหรับน้ำมันสำเร็จรูปมีแนวโน้มที่จะเติบโตต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 3/65 จากมุมมองของอุปทาน การปิดโรงกลั่น, การส่งออกที่ลดลงจากประเทศจีน, และสต็อกน้ำมันที่อยู่ในระดับต่ำจะเป็นปัจจัยที่จํากัดอุปทาน YoY อย่างไรก็ตามอุปสงค์ทั่วโลกที่อ่อนตัวลง เนื่องจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและอุปทานที่เพิ่มขึ้นมีแนวโน้มกดดันค่าการกลั่น QoQ ในช่วงเวลาดังกล่าว ในขณะที่ต้นทุนน้ำมันดิบ (crude premium) มีแนวโน้มเพิ่มขึ้น YoY (ทรงตัวหรือเพิ่มขึ้นเล็กน้อย QoQ) ในไตรมาส 3/65 ตามทิศทางราคาน้ำมันดิบ จากแนวโน้มดังกล่าว เราคาดว่าค่าการกลั่นจะปรับตัวสูงขึ้น YoY แต่ปรับตัวลดลงลง QoQ ในไตรมาส 3/65

หากการเริ่มดำเนินงานเชิงพาณิชย์ของโรงกลั่นใหม่ไม่เป็นไปตามแผน หรือมีการหยุดโรงกลั่นโดยไม่ได้วางแผนล่วงหน้า (สาเหตุจากไฟไหม้, สงคราม, ภัยธรรมชาติ เป็นต้น) จะส่งผลให้อุปทานตึงตัว อาจเป็นอัพไซต์ต่อค่าการกลั่น ในทางกลับกันหากอัตราการติดเชื้อกลับมาเพิ่มสูงขึ้นอุปสงค์ปิโตรเลียมจะถูกกดดันอีกครั้ง ซึ่งอาจจํากัดการฟื้นตัวของค่าการกลั่น

ส่วนต่างราคาปิโตรเคมีส่วนใหญ่มีแนวโน้มปรับตัวลง YoY และ QoQ ในไตรมาส 3/65

การกลับมาเปิดกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกมีแนวโน้มที่จะหนุนอุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีในวงกว้าง ให้แข็งแกร่งต่อเนื่องไปจนถึงไตรมาส 3/65 อย่างไรก็ตาม ช่วงที่อุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่ชะลอตัวตามปัจจัยฤดูกาล (โอเลฟินส์และอะโรเมติกส์) โดยปกติจะเริ่มในไตรมาสที่สองและสิ้นสุดใน เดือน ส.ค. นอกจากนี้ โดยปกติแล้วไตรมาสที่สามจะเป็นช่วงที่อุปสงค์ต่อผลิตภัณฑ์สายโพลีเอสเตอร์ ลดลงตามปัจจัยฤดูกาล ด้านอุปทาน กําลังการผลิตใหม่ที่เริ่มดำเนินงานในระหว่างไตรมาสและต้นทุนวัตถุดิบที่สูงขึ้น อาจเป็นอีกปัจจัยที่กดดันส่วนต่างราคาปิโตรเคมีในไตรมาส 3/65 จากแนวโน้มดังกล่าว เราจึงคาดว่าส่วนต่างราคาผลิตภัณฑ์ปิโตรเคมีส่วนใหญ่มีแนวโน้มอ่อนตัวลง YoY และ QoQ ในไตรมาส 3/65 อย่างไรก็ตาม อุปทานที่มีจํากัดซึ่งเป็นผลมาจากนโยบายการควบคุมมลพิษของจีน และ/หรือ ความล่าช้าในการเริ่มดำเนินงานของกำลังการผลิตใหม่ อาจเป็นอัพไซด์ต่อราคาและส่วนต่างราคาปิโตรเคมี

- Advertisement -