บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action BUY (from non-rate)
TP upside (downside) +26.3%
Close Aug 16, 2022 Price (THB) 19.40
12M Target (THB)24.50
Previous Target (THB) N.A.
What’s new?
- เรามีมุมมองเป็นบวกหลังการเข้าประชุมกับผู้บริหาร สถานการณ์ Chip Shortage เริ่มบรรเทาลง ส่งผลให้การส่งมอบงานกลับมาอีกครั้ง
- เราคาดกำไรปกติปี 2565 ที่ 53 ล้านบาท (-15%YoY) แต่คาด 2H65 เติบโต +114% HoH และคาดกำไรปกติปี 2566 ที่ 75 ล้านบาท (+43% YoY)
Our view
- เราประเมินราคาเหมาะสมของ SECURE ณ สิ้นปี 2566 ที่ 24.50 บาทต่อหุ้น อิง PER 33.5x
- เรากลับมาแนะนำ “ซื้อ” เราประเมินว่าการสะดุดระยะสั้นของผลประกอบการมาจากภาวะการขาดสินค้าจาก Vendor ไม่ใช่มาจาก Demand ของ Cybersecurity ที่ยังแข็งแกร่ง ดังนั้นหุ้นจึงกลับมาน่าสนใจเมื่อ สถานการณ์ Chip shortage เริ่มคลี่คลาย
NFORCE SECURE ถึงเวลาของการฟื้นตัว
มุมมองเป็นบวกหลังการประชุมร่วมกับผู้บริหาร
เราเข้าประชุมกับผู้บริหารสรุปสาระสำคัญดังนี้
1) ภาพรวมผลประกอบการใน 1H65 ที่ไม่สดใส เนื่องมาจากสถานการณ์ Chip Shortage ที่รุนแรง โดยเฉพาะในสินค้ากลุ่ม Cybersecurity แบบ High End ที่เป็นสินค้ากลุ่มฮาร์ดแวร์ ทำให้ SECURE ที่แม้มีคำสั่งซื้อแข็งแกร่ง แต่ไม่สามารถส่งมอบงานให้กับลูกค้าได้ ส่งผลให้ไม่สามารถรับรู้รายได้ได้เต็มศักยภาพ นอกจากนี้บริษัทฯ ยังได้รับผลกระทบในด้านอัตราการทำกำไรจากการต้องนำเข้าสินค้า ในภาวะที่ค่าเงินบาท/USD อ่อนค่าอย่างมีนัยสำคัญ
2) อย่างไรก็ดี สถานการณ์ Chip Shortage ในอุตสาหกรรม Cybersecurity เริ่มบรรเทาลง หลังการกลับมาเปิดเมืองทำให้สายการผลิตสินค้ากลุ่ม High End เริ่มทยอยกลับเข้าสู่ภาวะปกติ แม้ผู้บริหารมองว่าอาจต้องใช้เวลาจนถึงปี 2566 กว่าสถานการณ์จะกลับสู่ภาวะปกติ แต่ใน 2H65 การส่งมอบงานจะดีขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป ขณะที่สถานการณ์ของค่าเงินบาท/USD เมื่อลดความผันผวนลง การบริหารจัดการงานโครงการบริษัทฯ จะทำได้ดีมากขึ้น
3) บนสถานการณ์ Chip Shortage ที่เริ่มคลี่คลาย เมื่อบวกกับความต้องการลงทุนด้าน Cybersecurity ที่ยังเติบโตดีระดับ 15% ต่อปี ทำให้บริษัทฯ จะเริ่มกลับมาสู่ศักยภาพการเติบโตปกติ
4) สินค้ากลุ่มการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล (PDPA) ที่เริ่มมีรายได้ใน 2Q65 เป็นไตรมาสแรกที่ราว 1.9 ล้านบาท มีโอกาสเติบโตได้อีกมาก ปัจจุบันลูกค้าส่วนใหญ่กว่า 80% ยังไม่ได้ลงทุนเพื่อการจัดการข้อมูลส่วนบุคคล ผู้บริหารมองว่าสินค้ากลุ่มนี้จะเด่นขึ้นในปี 2566
5) SECURE มี Backlog ณ สิ้น 2Q65 ที่ราว 140 ล้านบาท โดยส่วนใหญ่รอรับรู้ใน 3Q65
6) เงินสดในมือ ณ สิ้น 2Q65 ที่ราว 391 ล้านบาท บริษัทฯ อยู่ระหว่างมองหาการเติบโตแบบ Inorganic เพิ่มเติมในอนาคตที่จะมาเสริมศักยภาพให้ SECURE ก้าวขึ้นเป็นผู้เล่นแถวหน้าของวงการ Cybersecurity ได้เด่นขึ้น
7) การเติบโตปกติ บริษัทฯ เริ่มขยายทีมงานเพิ่มเติม ปัจจุบันมีจำนวนพนักงานราว 70 ราย และมีการจัดทำ Executive Room เพื่อใช้แสดงระบบ Cybersecurity ทั้งหมด และเป็นที่รับรองลูกค้าในอนาคต
ปรับประมาณการ …ปี 2565 สะดุดเล็กน้อย กลับไปเติบโตในปี 2566
เราคาดกำไรปกติปี 2565 ที่ 53 ล้านบาท (-15%YoY ) คาดรายได้ปี 2565 ที่ 811 ล้านบาท (-2% YoY) และ คาด GPM ที่ 18.6% กำไรที่ลดลง YoY มาจาก 1H65 ที่อ่อนแอ เพราะการขาดแคลนสินค้าส่งมอบให้กับลูกค้า อย่างไรก็ดี ในแง่ของ Momentum เราคาดกำไร 2H65 ที่ 36 ล้านบาท หรือเร่งตัว +114% HoH จากการกลับมาส่งมอบงานได้ดีขึ้น ขณะที่ปี 2566 เราคาดกำไรปกติที่ 75 ล้านบาท (+43%YoY) อิงสมมติฐานการกลับมาเติบโตของรายได้ราว 6% และ GPM ที่ทยอยฟื้นตัวที่ 19.7%
กลับมาแนะนำ “ซื้อ” อิงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 24.50 บาทต่อหุ้น
เราประเมินราคาเหมาะสมของ SECURE ณ สิ้นปี 2566 ที่ 24.50 บาทต่อหุ้น อิง PER 33.5x ต่ำกว่ากลุ่ม Digital Transformation จากการเติบโตที่ยังต้องการการพิสูจน์ตัวเองมากกว่า อย่างไรก็ดี ขนาดตลาดที่ใหญ่และฐานทุนที่แข็งแกร่ง ทำให้มีโอกาสที่ SECURE จะเติบโตระยะยาวที่ 30%-40% ต่อปี
เรากลับมาแนะนำ “ซื้อ” เราประเมินว่าการสะดุดระยะสั้นของผลประกอบการมาจากภาวะการขาดสินค้าจาก Vendor ไม่ใช่มาจาก Demand ของ Cybersecurity ที่ยังแข็งแกร่ง ดังนั้นหุ้นจึงกลับมาน่าสนใจเมื่อสถานการณ์ Chip Shortage เริ่มคลี่คลาย
ความเสี่ยงสำคัญ ได้แก่ 1) Chip Shortage กลับมารุนแรงอีกครั้ง 2) ภาวะเศรษฐกิจถดถอยรุนแรงทั่วโลก ทำให้เกิดการชะลอการลงทุนด้าน Cybersecurity และ 3) สูญเสียบุคลากรสำคัญ







