บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action BUY (Upgrade)
TP upside (downside) +15.4%
Close Sep 6, 2022 Price (THB) 20.10
12M Target (THB) 23.20
Previous Target (THB) 24.20
What’s new?
- แนวโน้มผลประกอบการ 2H65 เติบโตดีกว่า 1H65 จากกลุ่มลูกค้าใหม่ที่ติดต่อเข้ามา ยอดขายที่ดินรอโอนในไทยกว่า 2 พันลบ. (บริษัทคาดจะโอนสำเร็จในปีนี้) และปัจจัยหนุนเพิ่มจาก Supplier กลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า
- เรามีการปรับลดประมาณการกำไรปกติปี 2565 และปี 2566 ลงจากเดิม 43% และ 6% ตามลำดับ สะท้อนผลประกอบการเติบโตช้ากว่าที่เราคาด 1H65
Our view
- เรามองผลประกอบการ AMATA จะเติบโตได้ดีในช่วงที่เหลือของปี และต่อเนื่องในปี 2566 จากยอดขายที่ดินรอโอนมูลค่ารวมกว่า 5 พันลบ. ที่คาดจะทยอยโอนใน 2H65 และต่อในปี 2566
- เราปรับลดมูลค่าพื้นฐานจากเดิมที่ 24.20 บาท เป็น 23.20 บาท สะท้อนการปรับลดประมาณการกำไร และปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานปี 2566 โดยเราปรับคําแนะนําเป็น “ซื้อ”
AMATA CORPORATION (AMATA)
คาดหวังการเติบโตช่วงครึ่งหลังของปี
2H65 คาดเติบโตทั้ง HoH และ YoY
AMATA ให้ข้อมูลเชิงบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการใน 2H65 ที่คาดเติบโตเด่น HoH และ YoY โดยคงเป้ายอดขายที่ดินปีนี้ที่ 1 พันไร่ ถึงแม้ 1H65 จะทำได้เพียง 17% ของเป้าขายที่ดินรวมในช่วง 3Q65 มีลูกค้า Data center หลายรายเข้ามาลงทุนในนิคมอมตะที่ไทย และกลุ่มธุรกิจนี้มีการใช้ไฟฟ้าเพิ่มขึ้น อีกทั้งในช่วง 2H65 ได้มีการนัดเจรจากับลูกค้ารอเตรียมเซ็นสัญญาอยู่แล้ว นอกจากนี้ ยังมีปัจจัยบวกเสริมจากกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า ที่ล่าสุดทางสำนักงานคณะกรรมการส่งเสริมการลงทุน (BOI) ได้สนับสนุนการลงทุนแก่ BYD บริษัทยานยนต์ไฟฟ้าชั้นนำจากประเทศจีนในการตั้งโรงงานการผลิตในประเทศไทย ซึ่งจะช่วยดึงดูดห่วงโซ่มูลค่าของกลุ่มยานยนต์ไฟฟ้า เช่น ชิ้นส่วนอะไหล่ และแบตเตอรี่ เข้ามายังประเทศไทยเพิ่มมากขึ้น และคาดว่าจะมีบริษัทยานยนต์ไฟฟ้าเจ้าอื่นเข้ามาลงทุน เรามองว่าจะช่วยหนุนการเติบโตของ AMATA ในระยะยาวได้
ปรับลดประมาณการปี 2565-2566
ยอดขายที่ดินช่วง 1H65 ฟื้นตัวได้ช้ากว่าที่เราคาด ด้วยเศรษฐกิจโดยรวมเกิดการชะลอตัว เกิดความผันผวนต่อธุรกิจนิคมอุตสาหกรรม ตลอดจนผลกระทบจากด้านกฎระเบียบการดำเนินงานของบริษัททั้งในและต่างประเทศ ซึ่งนิคมอุตสาหกรรมที่เวียดนามได้รับผลกระทบจากความล่าช้าของการออกใบอนุญาตโครงการใหม่ในช่วง 1H65 เราปรับลดสมมติฐานยอดขายที่ดิน และสัดส่วนยอดโอนต่อยอดขายที่ดินลดลงราว 12% อีกทั้งบริษัทฯ มีการขายโรงงานให้เช่าที่เวียดนามออกไป ส่งผลให้รายได้ค่าเช่าจากการให้เช่าโรงงานปรับลดลง เราจึงมีการปรับลดประมาณการปี 2565 สูงเพื่อให้มีความรัดกุมมากขึ้น โดยปรับลดกำไรปกติลงจากเดิม 43% อยู่ที่ 959 ล้านบาท ส่วนอัตรากำไรขั้นต้นลงจากเดิมที่ 55% เหลือ 51% จากที่ธุรกิจนิคมในเวียดนามเริ่มเข้ามามีบทบาทและประสิทธิภาพการทำกำไรที่เวียดนามต่ำกว่าในไทย ส่วนปี 2566 เราปรับลดประมาณการกำไรปกติลงราว 6%
ยอด Backlog หนุนการเติบโตปี 2566…ระยะยาวได้ผลบวก EV และการย้ายฐาน
เรามีมุมมองเป็นบวกต่อแนวโน้มผลประกอบการบริษัทในช่วง 12 เดือนข้างหน้า ทั้งธุรกิจนิคมฯ และธุรกิจ สาธารณูปโภค โดยปัจจุบันบริษัทฯ มียอดขายที่ดินรอโอน (Backlog) รวมอยู่ที่ 5,176 ล้านบาท ซึ่งบริษัทคาดจะสามารถโอนที่ดินในไทยมูลค่าประมาณ 2 พันล้านบาท ได้ภายในปี 2565 (สัดส่วน 60% ของยอดขายรอโอนในไทย) ส่วนยอดขายรอโอนในเวียดนาม 1,800 ล้านบาท และส่วนที่เหลือคาดรอโอนในปี 2566 ระยะยาวคาดเติบโตจากทั้งการขยายการลงทุน EV, ประเด็นที่รัฐบาลบาลพยายามผลักดันให้เกิดการลงทุนในพื้นที่ EEC, ประเด็นสงครามการค้าจีน-สหรัฐฯ ที่จะหนุนการย้ายฐานมาประเทศไทย
ปรับคำแนะนำเป็น “ซื้อ”
เราปรับคำแนะนำจาก “TRADING” เป็น “ซื้อ” คาดหวังผลประกอบการในช่วงที่เหลือของปี จะเติบโตได้ดีกว่าช่วงครึ่งปีแรก เราปรับลดมูลค่าพื้นฐานจากเดิมที่ 24.20 บาท เป็น 23.20 บาท สะท้อนการปรับประมาณการกำไร และปรับไปใช้มูลค่าพื้นฐานเป็นปี 2566 ด้วยวิธี SOTP จาก 1) ธุรกิจนิคม อิง PE คิด เป็นมูลค่า 8.13 บาท/หุ้น 2) ธุรกิจสาธารณูปโภค และโรงงานให้เช่า อิงวิธี DCF ที่ 5.56 บาท/หุ้น และ 3) ธุรกิจพลังงานและอื่นๆ โดยการลงทุนผ่านบริษัทร่วม ประเมินมูลค่าโดยอิงวิธี DCF คิดเป็นมูลค่าที่ 9.52 บาท/หุ้น








