บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):
Action BUY (Maintain)
TP upside (downside) +36.0%
Close Sep 6, 2022 Price (THB) 10.00
12M Target (THB) 13.60
Previous Target (THB) 13.60
What’s new?
- คาด Presale ช่วง ก.ค.-ส.ค. 65 ที่ 9.0 พันลบ. เติบโต 64% YoY และคาดโมเมนตัม Presale เดือน ก.ย. 65 จะเติบโตต่อเนื่องจากแผนเปิดโครงการใหม่ที่กระจุกตัวรวมมูลค่า 1.7 หมื่นลบ.
- แนวโน้มกำไรปกติ 3Q65 คาดเบื้องต้นที่ 1.30-1.55 พันลบ. ลดลง 2% ถึง 17% QoQ จากฐานที่เป็นจุดสูงสุดลำดับที่สอง ขณะที่ YoY คาดเติบโต 26% ถึง 50% หนุนจากการรับรู้ Backlog แนวราบและโครงการแนวสูง JV สร้างเสร็จใหม่ 2 โครงการ รวมมูลค่า 9.6 พันลบ.
Our view
- เราคาดว่าบริษัทจะสามารถบรรลุเป้า Presale ทั้งปีที่ 5.0 หมื่นลบ.ได้ เนื่องจาก Presale 8M65 คิดเป็น 69% ของเป้าทั้งปีอยู่ที่ 3.5 หมื่นลบ.
- แนวโน้มกำไรปกติ 4Q65 คาดเติบโต YoY ได้ต่อเนื่อง จากแผนเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่เชิงรุกใน 2H65 รวมมูลค่า 4.3 หมื่นลบ.
- คงประมาณการปี 2565 คาดทำระดับจุดสูงสุดใหม่ที่ 5.8 พันลบ. (+27% YoY) และคงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 13.60 บาท/หุ้น ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER66 ที่เพียง 5.3x ใกล้เคียง -0.75 S.D. จากค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปี
AP (THAILAND) Presale 3QTD ยังแรงไม่ตก
คาด Presale ก.ค.-ส.ค. 65 เติบโต 64% YoY
เราคาด Presale เดือน ก.ค.-ส.ค. 2565 ที่ 9.0 พันลบ. เติบโต 64% YoY และ 7% เมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยต่อที่ เดือนใน 2Q65 แบ่งเป็น 1) โครงการแนวราบที่ 6.2 พันลบ. (+21% YoY) หนุนจากการเปิดโครงการใหม่ไป แล้ว 6 โครงการ รวมมูลค่า 5.9 พันลบ. ทำ Take-up rate เฉลี่ยระดับ 20-30% โดยมีการตอบรับค่อนข้างดี ในหลายๆ โครงการ อาทิ BKM Phahonyothin Vibhavadi (1.4 พันลบ.) และ BKM Ladprao 101 station (900 ลบ.) โดย 2 โครงการดังกล่าวสามารถทำยอดขายเฟสแรกหมดตั้งแต่สัปดาห์แรกของการเปิดตัว (รวม 700 ลบ.) และ 2) โครงการแนวสูงที่ 2.8 พันลบ. (+665% YoY) เพิ่มขึ้นอย่างก้าวกระโดดจากการเปิดโครงการใหม่ 1 โครงการ คือ Aspire Sukhumvit Rama4 (4.2 พันลบ.ราคาเฉลี่ย 1.0 แสนบาท/ตร.ม.) ทำ Take-up rate ได้ราว 23% (เทียบกับ 3Q64 ที่ไม่มีการเปิดโครงการแนวสูงใหม่)
แผนเปิดโครงการใหม่เชิงรุกใน 2H65 หนุน Presale ทะลุเป้า
เราคาดว่ามีโอกาสสูงที่บริษัทจะทำ Presale ทั้งปี 2565 บรรลุเป้าหมายที่ 5.0 หมื่นลบ. (+43% YoY) ได้จาก 1) Presale 8M65 เติบโต 48% YoY เป็น 3.5 หมื่นลบ. และคิดเป็น 69% ของเป้าหมายทั้งปี แบ่งเป็น โครงการแนวราบที่ 2.7 หมื่นลบ. (+24% YoY) และโครงการแนวสูงที่ 7.8 พันลบ. (+343% YoY) และ 2) แนวโน้ม Presale ในช่วงที่เหลือของปีมีโมเมนตัมที่ดีต่อเนื่อง ได้แก่ ในเดือน ก.ย. 2565 คาด Presale ปรับตัวเพิ่มขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเฉลี่ยต่อเดือนช่วง ก.ค.-ส.ค. 2565 หนุนจากแผนเปิดโครงการแนวราบใหม่ ทั้งสิ้น 13 โครงการ มูลค่า 1.7 หมื่นลบ. เป็นผลให้แนวโน้ม Presale 3Q65 คาดเติบโตทั้ง QoQ และ YoY และไม่น้อยกว่า 1.35 หมื่นลบ.) และแนวโน้ม Presale 4Q65 ได้แรงหนุนจากแผนเปิดโครงการใหม่ที่ยืนในระดับสูงรวม 20 โครงการ มูลค่า 2.7 หมื่นลบ. (ทำให้โดยภาพรวมแล้วทั้งปี 2565 บริษัทมีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งสิ้น 60 โครงการ รวมมูลค่า 7.5 หมื่นลบ. (+233% YoY และเป็น New High)
แนวโน้มกำไรปกติ 3Q65 เติบโต YoY
แนวโน้มกำไรปกติใน 3Q65 คาดเบื้องต้นที่ 1.30-1.55 พันลบ. ลดลง 2% ถึง 17% QoQ จากฐานกำไรที่เป็นจุดสูงสุดลำดับที่สองของบริษัท อย่างไรก็ตาม หากเทียบ YoY คาดกำไรปกติเติบโต 26% ถึง 50% หนุนจากการรับรู้ Backlog แนวราบ ณ สิ้น 1H65 สูงถึง 1.3 หมื่นลบ. และการโอนโครงการแนวสูง JV สร้างเสร็จใหม่จำนวน 2 โครงการ ได้แก่ Life Sathorn Sierra (6.3 พันลบ. Sold 60%) และ Rhythm Ekkamai Estate (3.4 พันลบ. Sold 30%) ในช่วงต้น-กลางเดือน ก.ย. 2565 ตามลำดับ นอกจากนี้ บริษัทวางแผนเปิดตัวโครงการแนวราบใหม่ใน 4Q65 ทั้งสิ้น 18 โครงการ รวมมูลค่า 2.1 หมื่นลบ. ช่วยหนุนให้แนวโน้มกำไรปกติ 4Q65 คาดเติบโต YoY ได้ต่อเนื่อง
คงคำแนะนำ “ซื้อ” ราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 13.60 บาท/หุ้น
คงประมาณการกำไรปกติปี 2565-66 ทำระดับจุดสูงสุดใหม่ที่ 5.8 พันลบ. (+27% YoY) และ 6.0 พันลบ. (+4% YoY) ตามลำดับ ทั้งนี้ ณ สิ้นเดือน ก.ค. 2565 บริษัทมี Backlog ที่คาดรับรู้ในปี 2565 คิดเป็น Secured Revenue แล้ว 89%
เราคงราคาเหมาะสม ณ สิ้นปี 2566 ที่ 13.60 บาท/หุ้น (อิง PER66 ที่ 7.2x เทียบเท่า +1.0 SD จากที่ค่าเฉลี่ยย้อนหลัง 5 ปีของบริษัท) ราคาหุ้นปัจจุบันซื้อขายบน PER66 ที่เพียง 5.3x (-0.75 S.D.) พร้อมทั้งคาดเงินปันผลงวดปี 2565 ที่ 0.64 บาท/หุ้น คิดเป็น Dividend Yield สูงถึง 6.4% และคงคำแนะนำ “ซื้อ” จากแนวโน้มผลประกอบการปี 2566 คาดยืนในระดับสูงได้ต่อเนื่องจาก 1) แผนเปิดโครงการแนวราบที่หนาแน่นในปีนี้ คาดทำให้บริษัทมีพอร์ตสินค้าพร้อมขายแนวราบ ณ สิ้นปี 2565 ราว 5.5-6.0 หมื่นลบ. (เทียบกับสิ้นปี 2564 ที่ 4.3 หมื่นลบ.) และ 2) การโอนโครงการแนวสูงสร้างเสร็จใหม่จำนวน 5 โครงการ รวมมูลค่า 1.8 หมื่นลบ. (มียอดขายเฉลี่ยแล้ว 40% โดยเป็นโครงการ JV 2 โครงการ รวมมูลค่า 1.4 หมื่น ลบ.) ซึ่งจะทยอยรับรู้ตั้งแต่ 1Q-4Q66







