บล.พาย: 

MTC: บมจ. เมืองไทย แคปปิตอล “บนเส้นทางการฟื้นตัว”

เริ่มต้นบทวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 54.00 บาท คาดกำไรสุทธิฟื้นตัว 14% ในปี 2022 โต 16% และ 18% ในปี 2023-24 ตามลำดับ มูลค่าหุ้นค่อนข้างน่าสนใจ เพราะสะท้อนปัจจัยไม่แน่นอนไปบ้างแล้วจากการที่ราคาหุ้นปรับลดลง 27% ตั้งแต่เดือน ธ.ค. 2021 ปัจจุบันหุ้นซื้อขายกันที่ 2.6x PBV’23E และ 14.3x PE23E

มีลูกค้าใหม่รอให้เข้าถึงอีกมาก

  • ฐานลูกค้าของบริษัทคือผู้กู้รายได้ต่ำที่ไม่สามารถเข้าถึงบริการของระบบธนาคารปกติได้ เป็นตลาดขนาดใหญ่ด้วยจำนวนผู้มีรายได้ต่ำทั่วประเทศที่ 18-20 ล้านราย สินเชื่อบริษัทจึงมีโอกาสเติบโตสูง หนุนจากอุปสงค์สินเชื่อผู้บริโภคและกิจการขนาดเล็กที่โตขึ้น และด้วยการที่สามารถนำยานพาหนะหลากหลายประเภทมาค้ำประกันเงินกู้ได้ จึงคาดว่าบริษัทจะเติบโตอย่างมั่นคงในระยะยาว

เครือข่ายสาขาที่กว้างขวางพร้อมรองรับการขยายกิจการ

  • เครือข่ายสาขาของบริษัทปรับเพิ่มต่อเนื่องเป็น 5,665 สาขาในปี 2021 จากเพียง 506 สาขาในปี 2014 และมีโอกาสบรรลุเป้าหมายปี 2022 ที่ 6,500 สาขา นอกจากนี้บริษัทได้ตั้งเป้าที่ 7,200 สาขาทั่วประเทศภายในสิ้นปี 2023 คาดช่วยให้บริษัทเพิ่มส่วนแบ่งตลาดได้มากขึ้น ผ่านการเข้าถึงกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ทั้งนี้ ด้วยกิจการที่ใหญ่ขึ้นจึงอาจทำให้บริษัทได้ประโยชน์ในแง่ความประหยัดต่อขนาด (economies of scale) ประสิทธิภาพด้านต้นทุนการดำเนินงานให้สูงขึ้นที่จะไปช่วยเพิ่ม

คาดกําไรการเติบโตจะกลับมาเติบโตในปี 2022

  • แม้ยังมีความกังวลเกี่ยวกับหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ (NPLs) ที่สูงขึ้น และการปรับเพิ่มดอกเบี้ย แต่คาดว่ากำไรสุทธิจะโต 14% YoY ในปี 2022 หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่สูงขึ้น เพราะสินเชื่อโตแข็งแกร่ง
  • คาดกำไรสุทธิปี 2023-24 โตต่อเนื่องที่ 16% และ 18% ตามลำดับ หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่สูงขึ้นเพราะสินเชื่อที่โตขึ้น และรายได้ค่าธรรมเนียมที่ปรับดีขึ้น

เริ่มต้นบทวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ”

  • เริ่มต้นบทวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 54.00 บาท คำนวณด้วยวิธี Gordon growth model (ROE 20%, การเติบโต 5%) อิง 3.2x PBV’23E (เทียบ 6.5XPBV ต่อค่าเฉลี่ย 3 ปี) และ 17.4x PE’23E (เทียบ 27X PE ต่อค่าเฉลี่ย 3 ปี)

มูลค่าหุ้นและคำแนะนำ

  • การเริ่มต้นบทวิเคราะห์ด้วยคำแนะนำ “ซื้อ” มูลค่าพื้นฐาน 54.00 บาท อิงสมมติฐานดังนี้

(i) คาดถึงการเติบโตของกำไรสุทธิที่มั่นคงในปี 2022-24 หลังจากที่ปรับลดลงในปี 2021 คาดกำไรช่วง 2022-24 โตเฉลี่ยต่อปีที่ 16% YoY

(ii) เครือข่ายสาขาที่กว้างขวาง เอื้อให้เข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่ได้ทั่วประเทศ คาดจำนวนสาขาของบริษัทจะออกมาเกินเป้าหมายที่ 6,500 สาขา ในปี 2022 (ไตรมาส 2/22 ที่ 6,475 สาขา) ปัจจัยนี้จะช่วยกระตุ้นการเติบโตของสินเชื่อในระดับ 20%-30% ต่อปีในช่วง 2022-24

(iii) มูลค่าหุ้นน่าดึงดูดมากขึ้น หลังจากราคาปรับลดลงไป 27% ตั้งแต่สิ้นปี 2021 ปัจจุบันหุ้นซื้อขายกันที่ 14.0x P/E’23 ต่ำกว่า 3SD ต่อค่าเฉลี่ย P/E 3 ปี

  • มูลค่าพื้นฐานคำนวณด้วยวิธี Gordon growth model อิงสมมติฐานดังนี้ 1) อัตราการเติบโตระยะยาวที่ 5% 2) ต้นทุนเงินทุน 9.6% และ 3) อัตราผลตอบแทนผู้ถือหุ้น (ROE) ที่มั่นคงระดับ 20% มูลค่าพื้นฐานที่ 54.00 บาท อิง P/B’23E ที่ 3.2 เท่า (เทียบค่าเฉลี่ย 3 ปีที่ 6.5 เท่า) และ PE’23E ที่ 17.4 เท่า (เทียบค่าเฉลี่ย 3 ปีที่ 27.0 เท่า)
  • ราคาหุ้นปรับลดลงราว 27% YTD (ม.ค.-ส.ค.) เทียบกับดัชนี SETFIN ที่ลดลง 14% ในช่วงเดียวกัน ทำให้ปัจจุบันหุ้นซื้อขายกันที่ 2.6x P/B’23E เมื่อเทียบมูลค่าพื้นฐานข้างต้นสะท้อนผลตอบแทนทั้งหมดที่ราว 27%  ประกอบด้วยส่วนต่างราคาหุ้น 26% และผลตอบแทนเงินปันผล 1%

Earnings outlook

คาดกำไรกลับมาโตในปี 2022

  • ผลประกอบการในปี 2021 ออกมาน่าผิดหวังด้วยกำไรสุทธิที่ลดลง 5% นับเป็นการปรับลดครั้งแรกตั้งแต่จดทะเบียนใน SET เมื่อปี 2014 แต่เชื่อว่ากำไรรายไตรมาสของบริษัทผ่านจุดต่ำสุดไปแล้วในไตรมาส 4/21
  • กำไรสุทธิฟื้นตัวขึ้นในไตรมาส 1-2/22 หลังจากแตะจุดต่ำที่ 1.1 พันล้านบาทในไตรมาส 4/21 กำไรสุทธิครึ่งแรกปี 2022 โต 4% YoY คาดกำไรสุทธิ โตทั้ง YoY และ HoH ในครึ่งหลังปี 2022 ตามการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ประเมินกำไรสุทธิครึ่งหลังปี 2022 ที่ราว 2.9 พันล้านบาท โตขึ้น 25% YoY และ 5% HoH
  • คาดกำไรสุทธิพลิกมาโตแดนบวกที่ 14% YoY เป็น 5.6 พันล้านบาทในปี 2022 หนุนจากรายได้ดอกเบี้ยสุทธิที่สูงขึ้นจากการเติบโตของสินเชื่อ
  • คาดกำไรสุทธิปี 2023 โต 16% YoY หนุนจากปัจจัยดังนี้

(i) รายได้ดอกเบี้ยสุทธิปรับสูงขึ้นจากสินเชื่อที่โตต่อเนื่อง หนุนจากการฟื้นตัวของเศรษฐกิจและการขยายสาขา

(ii) รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการที่สูงขึ้นจากการทวงถามหนี้และประกัน

(iii) ค่าใช้จ่ายสำรองหนี้สูญที่ทรงตัวในระดับ 160bp

Loan growth outlook

สินเชื่อโตแข็งแกร่งต่อเนื่อง หนุนจากบรรยากาศทางเศรษฐกิจที่ปรับดีขึ้น

  • คาดการกลับมาเปิดพรมแดนของไทยจะช่วยกระตุ้นจำนวนนักท่องเที่ยวขึ้นหลังประเด็นโควิด-19 เริ่มผ่อนคลายลง เศรษฐกิจช่วงครึ่งแรกปี 2022 โต 2.4% YoY และคาดว่าจะโตยิ่งขึ้นในครึ่งปีหลัง ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) คาด GDP โต 3.3% YoY ในปี 2022 และ 4.2% ในปี 2023
  • บริษัทยังคงกลยุทธ์หลักในการเพิ่มสาขาใหม่อีก 700 แห่งต่อปี เพื่อเข้าถึงลูกค้ากลุ่มใหม่และเพื่อทวงถามหนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพสูงขึ้น เครือข่ายสาขาของบริษัทเพิ่มเป็น 6,475 ในไตรมาส 2/22 คาดเพิ่มเป็นประมาณ 6,800 ในเดือน ธ.ค. 2022 เทียบกับเป้าหมายของบริษัทที่ 6,500 สาขา บริษัทมีแผนการขยายสาขาเป็น 7,200 สาขาภายในปี 2023 แม้มีแผนขยายสาขาเชิงรุก แต่สินเชื่อขั้นต้นต่อสาขาของบริษัทในปี 2021 ที่ 15.8 ล้านบาทยังถือว่าสูงกว่าในปี 2016-20 ที่ 14.2-14.7 ล้านบาท
  • ด้วยภาพการเติบโตทางเศรษฐกิจของไทยที่สดใสขึ้น บวกกับแผนการขยายสาขาของบริษัท จึงคาดว่าการเติบโตของสินเชื่อจะสูงขึ้นมาอยู่ที่ 32.8% YoY ในปี 2022 (2021: 29.4%) และโตต่อเนื่องแม้จะชะลอลงเป็น 23.4% ในปี 2023 และ 20.6% ในปี 2024 ก็ตาม สมมติฐานการเติบโตของสินเชื่อนี้อิงจากคาดการณ์ว่าสินเชื่อหลักค้ำประกันยานพาหนะจะโตต่อเนื่อง (จักรยานยนต์ รถยนต์ และยานพาหนะเพื่อการเกษตร) กลุ่มสินเชื่อเช่าซื้อจักรยานยนต์ใหม่จะไม่มีส่วนสำคัญต่อการกระตุ้นสินเชื่อรวมในระยะสั้นเท่าใด เพราะมีสัดส่วนต่ำที่ 5% ในปี 2021

Asset Quality

คาด NPLs ในครึ่งปีหลังปรับสูงขึ้นแต่ในอัตราที่ชะลอลง

  • คุณภาพสินเชื่อของบริษัทปรับลดลงจาก NPLs ที่สูงขึ้น เนื่องจากมีลูกค้าบางรายไม่สามารถชำระเงินกู้ได้ โดยมี NPLs ที่ปรับเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ 182% เป็น 2.1 พันล้านบาทในไตรมาส 2/22 เทียบ 747 ล้านบาทในเดือน ธ.ค. 2020 อัตราส่วนหนี้สินที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ต่อสินเชื่อรวม (NPL ratio) สูงขึ้นเป็น 2% ในไตรมาส 2/22 (2021: 1.4%) ผู้บริหารระบุว่า NPLs จะปรับสูงขึ้นต่อเนื่องในครึ่งหลังปี 2022 แต่ด้วยอัตราที่ชะลอลง เพราะบริษัทจะเข้มงวดกับการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าใหม่มากขึ้น และจะทำให้ตัดบัญชี NPLs ต่อเนื่อง ผู้บริหารได้ให้แนวทาง NPL ratio ปี 2022 ว่าจะไม่เกิน 2.5% ขณะที่เราคาด NPL ratio เพิ่มเป็น 2.3% ในปี 2022 และ 2.8% ในปี 2023
  • เพื่อรับมือกับ NPLs ใหม่ และคงอัตราส่วนการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่ราว 100% ต่อไป บริษัทจำเป็นต้องตั้งสำรองเพิ่มเติมมากขึ้นในครึ่งหลังปี 2022 คาดค่าใช้จ่ายสำรองหนี้ฯ จะเพิ่มเป็น 160bp ในปี 2022 และทรงตัวในระดับสูงที่ 160bps ในปี 2023-24 (2021: 95bp) เพื่อสะท้อนถึงการตั้งสำรองหนี้ฯ ที่สูงขึ้นในอนาคต จึงคาดว่าอัตราส่วนการตั้งสำรองหนี้ฯ ของบริษัทจะอยู่ที่ราว 101% ในปี 2022 และ 107% ในปี 2023 อัตราส่วนหนี้สินต่อเงินทุน (D/E ratio) ปรับสูงขึ้นเป็น 3.3 เท่าในไตรมาส 2/22 ส่วนหนึ่งเป็นผลจากการออกหุ้นกู้ของบริษัทเพื่อตรึงต้นทุนดอกเบี้ยเอาไว้ท่ามกลางสภาวะดอกเบี้ยปรับเพิ่ม แต่บริษัทยังมีพื้นที่ในการกู้ยืมเพิ่มเติมจากสถาบันทางการเงิน หรือสามารถออกหุ้นกู้เพื่อสนับสนุนการเติบโตของสินเชื่อได้เพิ่มเติม

Company profile

บริษัทที่เติบโตที่เติบโตเร็วในตลาดไมโครไฟแนนซ์

  • MTC คือหนึ่งในบริษัทชั้นนำด้านไมโครไฟแนนซ์ในไทยที่ให้บริการสินเชื่อกับลูกค้ารายย่อย ก่อตั้งในปี 1992 โดยตระกุลเพชรอำไพ มุ่งเน้นธุรกิจสินเชื่อทะเบียนยานยนต์และโฉนดที่ดิน ปัจจุบันมีส่วนแบ่งตลาดในกลุ่มสินเชื่อทะเบียนจักรยานยนต์ที่สูงสุดในไทย
  • บริษัทจดทะเบียนเป็น บมจ. ในวันที่ 16 พ.ค. 2014 และจดทะเบียนใน SET วันที่ 26 พ.ค. 2014 ด้วยทุนจดทะเบียนที่ 2.12 พันล้านบาท (หุ้นสามัญ 2,120 ล้านหุ้น ราคาพาร์ที่ 1.00 บาท/หุ้น) โดยเสนอขายหุ้นสามัญใหม่ 545 ล้านบาทที่ราคา 5.50 บาท/หุ้น
  • บริษัทให้บริการสินเชื่อแบบต้องค้ำประกันและไม่ต้องค้ำประกันแก่ลูกค้ารายย่อย แบ่งเป็นกลุ่มสินเชื่อหลักดังนี้

(i) สินเชื่อทะเบียนรถ (ใช้สินทรัพย์ค้ำประกัน) ลูกค้าต้องนำทะเบียนรถมาค้ำประกัน (จักรยานยนต์ รถยนต์ และยานพาหนะทางการเกษตร) ลูกค้าต้องมอบหนังสือทะเบียนรถให้กับบริษัทเป็นการชั่วคราว โดยไม่ต้องโอนสิทธิความเป็นเจ้าของให้กับบริษัท

(ii) สินเชื่อโฉนดที่ดิน (ใช้สินทรัพย์ค้ำประกัน) บริษัทปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าที่นำโฉนดที่ดินมาค้ำประกัน โดยลูกค้าที่ขอสินเชื่อต้องนำโฉนดที่ดินตัวจริงมายื่นเป็นหลักค้ำประกันกับบริษัท

(iii) สินเชื่อส่วนบุคคล (ไม่ใช้สินทรัพย์ค้ำประกัน) บริษัทปล่อยสินเชื่อให้กับลูกค้าเดิมที่เคยใช้บริการสินเชื่อทะเบียนรถของบริษัทและมีประวัติการชำระเงินที่ดี

(iv) สินเชื่อลีสซิ่งจักรยานยนต์ (ใช้สินทรัพย์ค้ำประกัน) บริษัทดำเนินธุรกิจลีสซิ่งจักรยานยนต์ภายใต้บริษัท เมืองไทย ลิสซิ่ง จำกัด (MTLS) โดยทาง MTLS ทำการปล่อยสินเชื่อให้ลูกค้าที่กู้สินเชื่อทะเบียนรถกับ MTC และต้องการซื้อจักรยานยนต์คันใหม่

(v) สินเชื่อเช่าซื้อสำหรับเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ทั่วไป (ใช้สินทรัพย์ค้ำประกัน) บริษัทให้บริการเครดิตส่วนนี้ภายใต้บริษัท เมืองไทย เพย์ เลเทอร์ จำกัด (MTPL) โดยทาง MTPL จะปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อเครื่องใช้ไฟฟ้าและอุปกรณ์ทั่วไป รวมถึงเครื่องใช้ไฟฟ้า มือถือ และอุปกรณ์ทางการเกษตร และทองคำ ด้วยสโลแกน “ซื้อก่อนผ่อนทีหลัง”

Revenue breakdown

รายได้บริษัทมาจาก 3 แหล่งดังนี้:

  • รายได้ดอกเบี้ยสุทธิคิดเป็น 94% ของรายได้การดำเนินงานรวมในปี 2021 ปัจจัยสนับสนุนรายได้ดอกเบี้ยสุทธิคือการเติบโตของสินเชื่อและอัตราส่วนต่างดอกเบี้ย (NIM)
  • รายได้ค่าธรรมเนียมและบริการคิดเป็น 6% ของรายได้รวมในปี 2021 ประกอบด้วยรายได้จากค่าธรรมเนียมการทวงถามหนี้และประกัน
  • รายได้อื่นๆ คิดเป็น 1% ของรายได้รวมในปี 2021
- Advertisement -