KS Daily View 07.09.2023 >>> มองดัชนีแกว่งตัวลงตามปัจจัยต่างประเทศกดดัน กังวลน้ำมันปรับตัวขึ้น แรงกดดันเงินเฟ้ออาจกลับมาและ Fed ต้องขึ้นดอกเบี้ยต่อ ประเมินกรอบซื้อขาย 1,540/1,555 หุ้นแนะนำ BBL SPALI
สรุปภาวะตลาดเมื่อวันวานนี้
ต่างประเทศ: ดัชนี DJIA -0.56%, S&P 500 -0.42%, NASDAQ -0.08%โดย Sector ที่ outperform ใน S&P500 เช่น Utilities (+0.20%), Energy (+0.14%), Financials (-0.17%) ขณะที่ Information technology (-1.37%), Consumer discretionary (-0.97%), Health care (-0.61%)
ในประเทศ: SET Index +0.92 pts. หรือ +0.06% ปิดที่ 1,548.78 จุด ตัวขับเคลื่อนหลักสำคัญคือ PTTEP (+3.11%), PTT (+1.44%), BDMS (+1.85%), CPAXT (+2.16%) ขณะที่ DELTA (-0.92%), SCGP (-4.32%), GULF (-1.08%), AOT (-0.35%)
แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:
มองระยะสั้นตลาดยังอยู่ในโหมดพักตัว การรีบาวด์ของดัชนี SET index วานนี้ยังเป็นไปอย่างค่อนข้างจำกัด ปัจจัยภายในประเทศเป็นการรอลุ้นประชุมครม.รอบแรกในสัปดาห์หน้า 12 ก.ย. ขณะที่ปัจจัยต่างประเทศเป็นลบหลังราคาน้ำมันปรับตัวขึ้นต่อเนื่องเริ่มสร้างตวามกังวลว่าแรงกดดันเงินเฟ้อจะกลับมาอีกรอบและ Fed อาจจำเป็นต้องปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อ ประเมินวันนี้ดัชนีอาจแกว่งตัวลงตามประเด็นความกังวลต่างประเทศกดดัน มองกรอบซื้อขายวันนี้ที่ 1,540/1,555 จุด
ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:
- นายจุลพันธ์ อมรวิวัฒน์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุการแจกเงินดิจิทัลของรัฐบาลคาดว่าจะใช้เม็ดเงินราว 5.6 แสนล้านบาทซึ่งเม็ดเงินดังกล่าวจะหมุนเข้าสู่ระบบเศรษฐกิจได้ราว 4 รอบ เป็นเงินรวมกว่า 2 ล้านล้านบาท ประเมินจะช่วยกระตุ้นเศรษฐกิจในปี 2567 ให้เติบโตได้ราว 4-5% คาดว่าจะเริ่มใช้ได้ราวไตรมาสแรกของปี 2567 หรือภายในวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2567 ทั้งนี้สำหรับเงื่อนไขเบื้องต้น กำหนดให้ใช้จ่ายในพื้นที่ ที่อยู่ในบัตรประชาชนไม่เกิน 4 กิโลเมตร ซึ่งอาจจะปรับเพิ่มระยะทางตามความเหมาะสม แต่ห้ามใช้จ่ายเพื่อซื้อสินค้าที่เป็นอบายมุข ไม่สามารถนำไปใช้หนี้ได้ และใช้จ่ายภายในระยะเวลา 6 เดือน เป็นต้น อีกทั้งให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าสำหรับเงินดิจิทัลดังกล่าวนั้น จะไม่ใช่ ดิจิทัล เคอร์เรนซี แต่เป็นสิทธิที่ใช้หน่วยนับเป็นเงินบาท โดยผู้รับการแจกเงินดังกล่าว จะใช้จ่ายเงินผ่านแอปพลิเคชันใหม่ที่ไม่ใช่แอปฯเป๋าตัง
- นาย ภูมิธรรม เวชยชัย รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพาณิชย์ เผยยังไม่ได้สรุปว่าจะใช้นโยบายประกันรายได้หรือจำนำ แต่จะมุ่งดำเนินโครงการพักชำระหนี้เกษตรกร 3 ปี เพื่อช่วยเกษตรกรจากวิกฤตเอลนีโญ ประเมินตัวเลขผลผลิตข้าวปีนี้อาจลดลง 5.6% หรือเสียหาย 2 ล้านตัน จากเอลนีโญ-ภัยแล้ง อย่างไรก็ดี ราคาข้าวปรับสูงขึ้นกว่าช่วงระยะเวลาเดียวกันของปีก่อนมาก สถานการณ์ข้าวในประเทศเปลี่ยนไป จากราคาข้าวเปลือกที่เคยตกต่ำ ต่ำกว่าราคาประกันรายได้ในรัฐบาลก่อน มาปีนี้จะกลายเป็นราคาข้าวภายในประเทศสูง มีคำสั่งซื้อข้าวเข้ามามาก จนอาจเกิดภาวะการขาดแคลนข้าวได้ หากไม่มีการบริหารจัดการสต๊อกข้าวที่ดีพอ
- สำนักข่าวรายงานร่างแถลงนโยบายในการบริหารประเทศที่จะถูกแถลงต่อรัฐสภาในสัปดาห์หน้าซึ่งในร่างมีการกล่าวถึงนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจเช่น Digital wallet, การพักหนี้ให้กลุ่มเกษตรกร, ลดภาระค่าใช้จ่ายด้านพลังงานให้กับประชาชน และนโยบายผลักดันการสร้างรายได้จากภาคการท่องเที่ยว อย่างไรก็ดี ในส่วนของมาตรการที่เกี่ยวเนื่องกับการท่องเที่ยว ในร่างนโยบายมีการกล่าวถึงเพียงการปรับปรุงขั้นตอนการขอวีซ่า ยกเว้นค่าธรรมเนียมและจัดทำ Fast Track VISA ผิดจากที่ตลาดคาดไว้ว่าจะเป็นการยกเว้นคือไม่ต้องขอวีซ่าหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยว มีโอกาสตอบสนองข่าวในเชิงลบหากแถลงนโยบายจริงมีเพียงแค่มาตรการดังกล่าว ทั้งนี้อาจต้องรอติดตามว่าประชุมครม.ในสัปดาห์หน้าแล้วจะมีการพิจารณามาตรการเพิ่มเติมให้กับประเทศไหนเป็นพิเศษเช่น จีน และ อินเดีย หรือไม่
- กรมควบคุมโรค กระทรวงสาธารณสุขรายงานพบเยาวชนติดเชื้อฝีดาษลิงเพิ่มมากถึง 16 รายในเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา จำนวนเคสต่อประชากรล้านคนของไทยเราตอนนี้สูงกว่าค่าเฉลี่ยของทวีปเอเชียราว 10 เท่า และสูงกว่าทวีปแอฟริการาว 3 เท่า แม้จะยังน้อยกว่าทวีปอเมริกาเหนือและยุโรป หากไม่ควบคุมป้องกันให้เข้มข้นไทยอาจเป็น hot spot ฝีดาษลิงระยะยาว
- สหรัฐฯรายงานตัวเลขดัชนีภาคบริการ US ISM service PMI เดือน ส.ค. ปรับตัวเพิ่มขึ้นแตะระดับ 54.5 จุด สูงกว่าที่ตลาดคาด 52.5 จุด และปรับตัวดีขึ้นกว่าเดือนก่อนหน้าที่ 52.7 จุด โดยตัวเลขรายงานที่ออกมาถือเป็นระดับสูงสุดในรอบ 6 เดือนหรือนับตั้งแต่เดือน ก.พ. 2566
Theme การลงทุนสัปดาห์นี้
สัปดาห์นี้ประเมินตลาดหุ้นไทยแกว่งตัวขึ้นในกรอบ 1,540 – 1,595 จุด บนมุมมองเชิงบวกต่อนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจของภาครัฐ หลังโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งคณะรัฐมนตรีชุดใหม่แล้ว โดยมีการประเมินเบื้องต้นว่าจะกำหนดการแถลงนโยบายในวันที่ 11 ก.ย. 66 และนัดประชุมคณะรัฐมนตรีนัดแรกในวันอังคารที่ 12 ก.ย. 66 ซึ่งคาดว่าจะมีความชัดเจนเรื่องนโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจ คือ นโยบายวีซ่าสำหรับนักท่องเที่ยวจีนและอินเดีย และนโยบายลดราคาขายปลีกน้ำมัน รวมถึงค่าไฟ เป็นต้น นอกจากปัจจัยบวกภายในประเทศแล้วราคาน้ำมันที่ปรับสูงขึ้นจะช่วยหนุนการฟื้นตัวของหุ้นในกลุ่มพลังงานต้นน้ำและโรงกลั่นด้วย
หุ้นแนะนำวันนี้
- Top pick: BBL (ราคาพื้นฐาน 196 บาท) คาดสินเชื่อโต, NIM ได้อานิสงค์ดอกเบี้ยขึ้น, สำรองหนี้เสียลดตามภาพเศรษฐกิจฟื้น ประเมินกำไรเติบโตดีราว 36% ปีนี้ และ ราคาหุ้นยังมี valuation upside อีกทั้งมองเก็งกำไรได้บนประเด็นอัตราดอกเบี้ยพันธบัตรสหรัฐฯปรับตัวขึ้น เนื่องจากเป็นธนาคารที่มีสัดส่วนสินเชื่อต่างประเทศสูงสุดในกลุ่ม
- Top pick: SPALI (ราคาพื้นฐาน 26.75 บาท) ราคาหุ้นถูกเทรด PE เพียง 5x กว่า คิดเป็นถึง -2SD เทียบค่าเฉลี่ยในอดีต อีกทั้งให้ปันผลเกือบ 7% ขณะที่มองกำไรครึ่งปีหลังดีกว่าครึ่งปีแรกแบบชัด ทั้งคอนโดรอโอน ศุภาลัย พรีเมียร์ สี่พระยา-สามย่าน (มูลค่าโครงการ 2.3 พันลบ. ขายได้หมดแล้ว 100%) และเตรียมเปิดโครงการแนวราบใหม่ซึ่งสามารถรับรู้รายได้เร็วเพิ่มอีกมากกว่าเท่าตัวเมื่อเทียบกับครึ่งปีแรก
รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ
- วันพฤหัสฯ ติดตามตัวเลข การค้าของจีน โดยตลาดคาดตัวเลขส่งออกจีนเดือน ส.ค. จะหดตัว 9.8% YoY แต่ดีขึ้นกว่าเดือนก่อนหน้าที่หดตัวถึง 14.5% YoY ขณะที่ตัวเลขการนำเข้าตลาดคาดจะลดลง 8.8% YoY หดตัวในอัตราที่ลดลงเช่นเดียวกันเมื่อเทียบกับเดือนก่อนหน้าที่หดตัว 12.4% YoY
- วันศุกร์ ติดตามตัวเลข GDP ของญี่ปุ่นสำหรับไตรมาส 2/2566 โดยเป็นการประกาศตัวเลขครั้งที่ 2 เพื่อทบทวนและปรับปรุง ตลาดคาดขยายตัว 1.4% QoQ เทียบกับตัวเลขที่ประกาศในครั้งแรกที่ขยายตัว 1.5% QoQ