บล.กรุงศรีฯ:
IPO Report: NEO
NEO CORPORATE (NEO TB/ NEO.BK)
NEO – หนึ่งในผู้นำสินค้า FMCG ของไทย
NEO เป็นหนึ่งในผู้นำในตลาด FMCG ซึ่งเรามองว่ายังมีศักยภาพจากการเติบโตมากกว่าอุตสาหกรรม ด้วยคาดรายได้เติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปี เทียบกับมูลค่าตลาดที่เติบโต 5-6% ต่อปี จากการออกสินค้าใหม่ การส่งเสริมการขาย รวมทั้งการขยายกลุ่มลูกค้าใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มส่วนแบ่งตลาด และมีโอกาสในการเติบโตในต่างประเทศมากยิ่งขึ้น เราประเมินราคาเหมาะสมไว้ที่ 54 บาท อ้างอิงระดับ 18 เท่า P/E ปี 2024F
ผู้นำในตลาดสินค้าที่อยู่ในตลาดมากว่า 34 ปี
NEO เป็นหนึ่งในผู้ทำการตลาด ผลิต และจำหน่ายสินค้าอุปโภคชั้นนำของประเทศ โดยมีกลุ่มผลิตภัณฑ์หลัก ได้แก่ กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ในครัวเรือน กลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้ส่วนบุคคล และกลุ่มผลิตภัณฑ์ของใช้สำหรับเด็ก ทั้งนี้ แบรนด์สินค้าหลักของบริษัท ได้แก่ แบรนด์ไฟน์ไลน์ (Fineline) แบรนด์ดีนี (D-nee) และแบรนด์บิโนซ์ (BeNice) ซึ่งอยู่ในอันดับต้นๆของตลาด
โดดเด่นกว่าตลาดด้วยการเติบโตที่มากกว่า และเพิ่มส่วนแบ่งตลาด
เรามองว่า NEO มีจุดแข็งและการเติบโตมาจาก 1) การเป็นผู้นำในหลายผลิตภัณฑ์ ที่มีการเติบโตที่สูงกว่าตลาด และเป็นเจ้าตลาด อาทิ กลุ่มผลิตภัณฑ์ซักผ้าเด็ก (ส่วนแบ่งตลาด 70%) และผลิตภัณฑ์ปรับผ้านุ่มเด็ก (ส่วนแบ่งตลาด 79%) และผลิตภัณฑ์ล้างภาชนะสำหรับเด็ก (ส่วนแบ่งตลาด 54%) 2) การเพิ่มผลิตภัณฑ์ใหม่ให้สอดคล้องกับความต้องการผู้บริโภคและการขยายเข้าสู่ลูกค้าใหม่ๆ เช่น premium mass, premium มากยิ่งขึ้น 3) ช่องทางจำหน่ายครอบคลุม และมีโอกาสในการเติบโตต่างประเทศ จากปัจจุบันสัดส่วน 12% 4) แผนขยายกำลังการผลิตรองรับความต้องการที่เพิ่มขึ้น
คาดผลประกอบการเติบโตเฉลี่ย 12% ต่อปีระหว่างปี 2024-27F
เราคาดผลประกอบการของ NEO จะมีอัตราการเติบโตเฉลียต่อปี (CAGR 3 ปี 2024-27F) ที่ 12% จากคาดการเติบโตรายได้เฉลี่ย 12% ต่อปี จากการเติบโตของตลาดสินค้าในแต่ละกลุ่ม การออกสินค้าใหม่อย่างต่อเนื่องและการตลาดส่งเสริมการขาย ที่ทำให้เราคาดยอดขายของบริษัทจะเต็บโตและเพิ่มส่วนแบ่งตลาดมากยิ่งขึ้น และจากการบริหารจัดการต้นทุนวัตถุดิบและค่าใช้จ่ายที่ดีขึ้น
ประเมินมูลค่าเหมาะสมที่ 54 บาท
เราประเมินมูลค่าเหมาะสมสำหรับบริษัท NEO ที่ 54 บาทอิงจาก 18x P/E 2024F ซึ่งเราให้ discount เมื่อเทียบกับคู่เทียบที่ซื้อขายเฉลี่ยอยู่ที่ P/E 20x เนื่องจากการคาดการณ์ผลประกอบการที่เติบโตที่ 8% ในปี 2024F และ 7% ในปี 2025F เมื่อเทียบกับคู่เทียบในตลาดที่ยังคาดการณ์เติบโต 2 หลัก
ปัจจัยเสี่ยง การแข่งขันที่สูงในอุตสาหกรรม การเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมผู้บริโภคและต้นทุนที่ปรับตัวขึ้นกว่าคาด
อ่านบทวิเคราะห์ฉบับเต็มได้ที่








