รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
ฟื้นตัวหลังกลับมายืนเหนือ 1580 แต่อาจเริ่มเคลื่อนไหวด้อยกว่าหุ้นสหรัฐฯ
ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับขึ้นนำโดยกลุ่มการเงินและอุตสาหกรรม จากสองข่าวสำคัญคือ
1) ธนาคารใหญ่ 23 แห่งผ่านผลทดสอบภาวะวิกฤติ (stress test) ทำให้จะสามารถกลับมาจ่ายปันผลและซื้อคืนหุ้นได้อีกครั้งหลัง 30 มิ.ย.

2) ทำเนียบขาวบรรลุข้อตกลงกับสภาคองเกรส ในการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจและการจ้างงานในสหรัฐฯ มูลค่า 1.2 ล้านล้านเหรียญฯ ซึ่งรวมถึงการใช้จ่ายงบประมาณครั้งใหม่ 5.79 แสนล้านบาท แม้เป็นปัจจัยบวกต่อบรรยากาศลงทุนโดยรวมของโลก แต่ก็เป็นปัจจัยเสี่ยงที่จะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงการจัดสรรน้ำหนักการลงทุน (allocation) ออกจากเอเชียและตลาดเกิดใหม่ไปยังสหรัฐฯ มากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อพิจารณาถึง 1) แนวโน้มการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในครึ่งปีหลัง 2) ความถูกแพงของ valuation

3) ความเสี่ยงจากเงินทุนไหลออกจากการเริ่มลดการผ่อนคลายของธนาคารกลางสหรัฐฯ ทำให้หุ้นไทยและเอเชีย คาดจะเคลื่อนไหวด้อยกว่า (Underperform) หุ้นสหรัฐฯ

ตัวเลขส่งออก พ.ค.64 เพิ่มขึ้น 41.6% สูงสุดในรอบ 11 เดือน ขณะที่การนำเข้า +63.5% สำหรับสินค้าสำคัญที่ยังคงเป็นปัจจัยหนุนการส่งออกในเดือน พ.ค. 64 อาทิ รถยนต์อุปกรณ์และส่วนประกอบ อัญมณีและเครื่องประดับไม่รวมทองคำ สินค้าเกี่ยวเนื่องน้ำมัน ยางพารา ผักผลไม้สดแช่เย็น แช่แข็ง กระป๋องและแปรรูป สิ่งปรุงรสอาหาร อาหารสัตว์เลี้ยง ทั้งนี้การส่งออกไก่สดแช่แข็ง แปรรูป เริ่มมีโมเมนตัมที่ดีขึ้น (พ.ค. +13.9% vs ม.ค.-พ.ค. +1.7%) ขณะที่มันสำปะหลังเริ่มชะลอตัวลง (พ.ค. +10.6% vs ม.ค.-พ.ค. +45.1%) ขณะที่การส่งออกน้ำตาลทรายยังแย่ (พ.ค. -45.7% vs ม.ค.-พ.ค. -45.2%) เนื่องจากภัยแล้งทำให้ผลผลิตลดลง หุ้นส่งออกที่น่าจะได้แรงหนุน ได้แก่ TFG, GFPT, CPF, SAT

ระยะสั้นหุ้นได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจโลกอาจกลับมาฟื้นตัว ในภาวะที่สถานการณ์ระบาดในประเทศ สร้างความกังวลกับธีมเปิดเมือง เราเห็นการฟื้นตัวของภาคบริการทั่วโลกเนื่องจากการระดมฉีดวัคซีนจะเป็นปัจจัยหนุนการเปิดเมืองและเศรษฐกิจ อย่างไรก็ตามสถานการณ์ระบาดในไทยที่เริ่มสร้างภาระต่อระบบสาธารณสุขจนเกิดความเปราะบางหากมีการระบาดระลอกใหม่ อาจนำไปสู่การเสียชีวิตและมาตรการควบคุมที่เข้มงวดขึ้น ทำให้เกิดแรงเก็งกำไรกลับไปยังกลุ่มได้ประโยชน์จากเศรษฐกิจโลก ซึ่งเราเชื่อว่าจะเห็นเม็ดเงินหมุนสลับเช่นนี้ จนกว่าสถานการณ์ระบาดในประเทศจะดีขึ้นชัดเจนจนกลับมาสนับสนุนประเด็นลงทุนที่เกี่ยวกับการเปิดเมืองอีกครั้ง

ธีมลงทุนอื่นที่น่าสนใจ
1) กลุ่มพลังงาน ปิโตรฯ PTT, PTTGC, IVL, IRPC
2) อาหารและเกษตร TVO, CPI, TU, CPF
3) ได้ประโยชน์จากเราชนะ TNP และ KK เนื่องจากเป็นร้านค้าธงฟ้า
4) การขายประกันโควิด บวกต่อ THRE, TIP, TQM
5) ปันผลและกองรีทส์ ADVANC, BTSGIF, CPNREIT, AIMIRT, FTREIT, EASTW, WHAUP, TTW, TIP
6) เก็งกำไรกลุ่มดิจิตัลทีวี BEC, WORK, MONOsonic
7) หุ้นกลุ่มเหล็ก TSTH, GJS, AMC
8) หุ้นกลุ่มเรือ TTA, PSL, RCL

ภาพรวมกลยุทธ์ การหลุดแล้วกลับมายืนเหนือ 1580 จุด เป็นสัญญาณบวกต่อการฟื้นตัวระยะสั้น แต่ด้วย Valuation ที่ตึงตัวคำนวณจาก ความน่าสนใจของการลงทุนในหุ้นเทียบพันธบัตร (Earnings yield gap) ทำให้ตลาดอาจมี downside ในระดับ 1520-1550 จุด เรายังมองสื่อสารและกองรีทส์ รวมถึงหุ้นปันผลสูง-ปลอดภัย น่าสนใจ

  // หุ้นแนะนำวันนี้ เก็งกำไร BDMS*, SFT*, MAJOR*, SKY*
  แนวรับ: 1,570-1,580/ แนวต้าน : 1,606-1,620 จุด สัดส่วน : เงินสด 60% : พอร์ตหุ้น 40%

ประเด็นการลงทุน
สหรัฐฯเผย GDP ไตรมาส 1/64 โต 6.4%. กระทรวงพาณิชย์สหรัฐเปิดเผยตัวเลขประมาณการครั้งที่ 3 ของ GDP ไตรมาส 1/64 ขยายตัว 6.4% ไม่เปลี่ยนแปลงจาก ตัวเลขประมาณการครั้งที่ 1 และ 2 แต่ต่ำกว่าที่นักวิเคราะห์คาดการณ์ที่ระดับ 6.6%

BoE คงดอกเบี้ย ขณะเตือนเงินเฟ้อพุ่ง. คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ระดับ 0.1% ต่ำสุดเป็นประวัติการณ์ พร้อมคงวงเงินเข้าซื้อพันธบัตรตามมาตรการ QE ที่ 8.95 แสนล้านปอนด์ อย่างไรก็ตาม BoE ได้แสดงความกังวลเกี่ยวกับอัตราเงินเฟ้อที่พุ่งขึ้น

ยอดส่งออกรถยนต์โต 165.87%. ส.อ.ท.เปิดเผยยอดส่งออดรถยนต์สำเร็จรูปเดือน พ.ค. อยู่ที่ 79,479 คัน เพิ่มขึ้น 165.87% yoy และ 50.30% mom จากการที่ประเทศคู่ค้า อาทิ ออสเตรเลีย เวียดนาม ญี่ปุ่น รวมถึง อินโดนีเซียเริ่มมียอดขายรถยนต์ในประเทศดีขึ้น

SABUY. บอร์ดไฟเขียวซื้อหุ้น TBSP จาก TKS สัดส่วน 73.48% มูลค่าต่ำกว่า 2 พันลบ. ต่อยอดสังคมไร้เงินสด เล็งทำบัตรวอลเล็ตในโรงงานอุตสาหกรรม พร้อมขาย VDP ให้ TBSP มูลค่ากว่า 1.02 พันลบ. ปรับโครงสร้างธุรกิจ ด้าน TKS ซื้อหุ้นเพิ่มทุน SABUY สัดส่วน 9.68% มูลค่า 984.5 ลบ. หวังขยาย Eco System
ประเด็นติดตาม: – 25 มิ.ย.: US PCE Price Index เดือน พ.ค.

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)

- Advertisement -