รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

ตลาดหุ้นวานนี้ : SET Index ปรับตัวลงตามที่ประเมินโดยปิดลบ 18.36 จุด ณ สิ้นวัน จากผลกระทบของการ Lockdown ที่เข้มขึ้นซึ่งจะเริ่มมาตรการวันนี้ รวมถึงราคาน้ำมันดิบที่ปรับลง ทำให้มีแรงขายกระจายตัวในหุ้นขนาดใหญ่ สถาบันในประเทศและนักลงทุนต่างชาติพลิกมาขายสุทธิในตลาดหุ้นหนาแน่น 1.2 พันลบ.และ 1.9 พันลบ. ตามลำดับ (ต่างชาติ Short Index Futures 1.2 หมื่นสัญญา)

แนวโน้มตลาดวันนี้ : เราคาด SET Index จะปรับตัวลงแรงอีกครั้งและมีโอกาสทดสอบกรอบแนวรับสำคัญบริเวณ 1,530-1,540 จุด จากภาวะตลาดที่เทขายสินทรัพย์เสี่ยงจากการระบาดของ COVID-19 สายพันธุ์เดลต้าทั่วโลกและอาจกระทบการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ขณะที่เงินเฟ้อยังปรับขึ้น ทำให้ตลาดกังวลว่ามีโอกาสเกิดภาวะ Stagflation ราคาน้ำมันดิบร่วงแรง -8% วานนี้กดดันกลุ่มพลังงาน ขณะที่มาตรการ Lockdown ที่เข้มข้นมากขึ้นซึ่งจะเริ่มวันนี้กดดันหุ้นในกลุ่ม Domestic Play โดยเฉพาะค้าปลีกและร้านอาหาร

เรายังประเมินปัจจัยสำคัญที่จะทำให้เศรษฐกิจฟื้นตัวอย่างยั่งยืนคือการเร่งนำเข้าและฉีดวัคซีน COVID-19 ให้รวดเร็วที่สุด ในเชิงกลยุทธ์จึงยังเน้นเลือกลงทุนในหุ้นที่มีปัจจัยบวกเฉพาะตัวและธุรกิจไม่ถูกกระทบจากมาตรการคุมเข้มและมีแนวโน้มกำไร 2Q21-3Q21 ที่แข็งแกร่ง ได้แก่ กลุ่มการแพทย์ กลุ่มขนส่ง กลุ่มเทคโนโลยี กลุ่มส่งออกอย่างอิเล็กทรอนิกส์และยานยนต์ ส่วนจังหวะอ่อนตัวลงหาแนวรับ 1,530-1,540+- จุดมองเป็นจังหวะในการสะสมหุ้นรอการฟื้นตัวช่วงปลายปีต่อเนื่องปีหน้า

กลยุทธ์ : เก็งกำไรเป็นรายตัวที่มีประเด็นบวกเฉพาะตัวและงบ 2Q21 โดดเด่น//สะสมหุ้นพื้นฐานบริเวณ 1,530-1,540+-

หุ้นเด่นเดือน ก.ค. : BDMS, DOHOME, EPG, KCE, SONIC

หุ้นเด่นวันนี้ : EKH
แนะนำ “ซื้อ” ปรับเพิ่มราคาเป้าหมายปี 2022 เป็น 9.20 บาท
แนวโน้มกำไร 2Q21 โดดเด่น +41% Q-Q และพลิกจากขาดทุนปีก่อน หนุนจากการระบาดของ COVID-19 ระลอก 3 ทั้งรายได้และ Margin ที่เติบโต
โมเมนตัมกำไร 3Q21 คาดทำ New High จากจำนวนผู้ติดเชื้อที่พุ่งขึ้น ทำให้มีการเพิ่มจำนวนเตียงและล่าสุดรับผู้ป่วยเต็ม 400-500 เตียง เราปรับเพิ่มประมาณการกำไรปี 2021-2022 ขึ้นเป็น +128% Y-Y และ +2% Y-Y ตามลำดับ
แนวรับ 7.50-7.60 บาท แนวต้าน 7.90-8 บาท

Fund Flow: วานนี้กระแสเงินทุนไหลออกจากภูมิภาคต่อเนื่องตามคาดและเร่งตัวขึ้นเป็น US$1,958 ล้าน นำโดยไต้หวันและเกาหลีใต้ US$1,478 ล้านและ US$428 ล้าน ตามลำดับ ส่วนตลาดอาเซียนโดยรวมค่อนไปทางไหลออกนำโดยไทย US$58 ล้าน และเมีเพียงอินโดนีเซียที่เม็ดเงินไหลเข้าเล็กน้อย แนวโน้มของกระแสเงินทุนคาดยังไหลออกจากความกังวล COVID-19 สายพันธุ์เดลต้าที่ระบาดทั่วโลก รวมถึงเงินเฟ้อที่ยังมีแนวโน้มปรับขึ้น

ประเด็นสำคัญวันนี้
(+) หุ้นที่คาดกำไร 2Q21 โดดเด่น KCE HANA DOHOME GLOBAL EPG SONIC LEO EKH CHG BCH BDMS NER JWD JR TTA IIG TU SAPPE SC SPALI

(-) กลุ่มขายสินค้า IT ถูกกระทบจากการต้องปิดสาขาในห้างที่อยู่ในพื้นที่สีแดง 13 จังหวัด เราประเมินผลกระทบเรียงลำดับจากมากไปน้อยดังนี้ CPW>SPVI>COM7>SYNEX ตามจำนวนสาขาที่ถูกปิด ประกอบกับเป็นช่วง Low Season ของธุรกิจ จึงแนะนำ “ชะลอการลงทุน” ระยะสั้น

(0) NRF แนวโน้มกำไร 2Q21 ยังไม่สดใสเพราะปัญหา Container Shortage ยังไม่คลี่คลาย และบริษัทร่วมที่ UK ประสบผลขาดทุนมากขึ้น เพราะมีค่าใช้จ่ายจากการย้ายโรงงานและสินค้ายังผลิตไม่ได้ตามแผน ทำให้เราต้องปรับประมาณการกำไรปกติปี 2021 ลงเป็น Flat Y-Y และการเติบโตถูกเลื่อนไปอยู่ในปี 2022 +75% Y-Y เราปรับใช้ราคาเป้าหมายปี 2022 ที่ 10 บาท โดย NRF เป็นหุ้นธีม Story Driven และอยู่ในช่วงของการลงทุน ในขณะที่บริษัทยังมีกลยุทธ์ชัดเจนในด้านการลงทุน M&A และ JV อีกหลายโครงการในอนาคต จึงแนะนำ “เก็งกำไร”

(+) UPA เข้าซื้อหุ้น GTG 96.49% มูลค่า 2.8 พันลบ. โดยเพิ่มทุน PP เพิ่อแลกหุ้น และเพิ่มทุนให้ผู้ถือหุ้นเดิมสัดส่วน 4:1 ที่ราคา 0.33 บาท รวมทั้งแจก UPA-W2 ให้ผู้ถือหุ้นเดิมสัดส่วน 5:1 เงินที่ได้จาก RO 1.5 พันลบ. และหาก UPA-W2 ใช้สิทธิทั้งหมดอีก 2.2 พันลบ. จะสำรองสำหรับการลงทุนในโครงการเดิมหรือโครงการใหม่ๆในอนาคต เรามองการซื้อ GTG เป็นบวกเพราะเป็นการเพิ่มแหล่งรายได้จากปัจจุบันที่รายได้หลักมาจากโรงไฟฟ้าในไทยและเวียดนาม และ GTG เป็นผู้ประกอบการกัญชา-กัญชงที่ครบวงจรและมีศักยภาพสูง มีสายพันธุ์เป็นของตนเองชื่อ RAKSA การรวมกิจการคาดแล้วเสร็จภายใน ธ.ค. นี้ เราปรับไปใช้ราคาเป้าหมายปี 2022 ที่ 0.60 บาท แนะนำ “ซื้อ”

(+) SNNP เป็นผู้นำในตลาดขนมขบเคี้ยวและเครื่องดื่ม มีแบรนด์ดังเช่น เจเล่ เบนโตะ ขาไก่โลตัส เมจิกฟาร์ม และน้ำวิตามิน Aquavitz มีโรงงานในไทย 4 แห่ง และกัมพูชา 1 แห่ง สัดส่วนขายในประเทศ : ส่งออก 78%:22% ตลาดส่งออกหลักคือ CLMV และอยู่ระหว่างขยายไปในตลาดจีน ยุโรป ออสเตรเลีย และสหรัฐ รวมถึงก่อสร้างโรงงานในเวียดนามคาดเริ่มผลิตได้ปี 2023 บริษัทมีรายได้และกำไรปี 2020 ที่ 4.3 พันลบ. และ 94 ลบ. ตามลำดับ โดยตั้งเป้ารายได้ใน 5 ปีข้างหน้าโตเฉลี่ย +12% CAGR เป็น 8 พันลบ.ในปี 2026 ทั้งนี้ Consensus ประเมินกำไรปี 2021 โตสูง +366% และปี 2022 +4% และให้ราคาเป้าหมายเฉลี่ย 13.90 บาท (SNNP ยังไม่ได้อยู่ Coverage ของเรา)

ปัจจัยที่ต้องติดตาม
20 ก.ค. ญี่ปุ่น: เงินเฟ้อ นำเข้า-ส่งออก (มิ.ย.)
จีน: Loan Prime Rate 1Y
22 ก.ค. ยูโรโซน: ประชุม ECB
อินโดนีเซีย: ประชุมธนาคารกลาง
23 ก.ค. อังกฤษ: ดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภค (ก.ค.)
ยูโรโซน: Markit Flash Manufacturing PMI (ก.ค.)

(-) ตลาดดาวโจนส์ ลดลง 725.81 จุด หรือ 2.09% ปิดที่ 33,962.04 จุด จากความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาดของ COVID-19 โดยเฉพาะสายพันธุ์เดลตา หลังตัวเลขผู้ติดเชื้อสูงขึ้นในสหรัฐ รวมถึงกดดันจากการปรับลงแรงของราคาน้ำมันดิบ WTI

(-) ตลาดหุ้นยุโรปปิดลบ จากการแพร่ระบาดรวดเร็วของ COVID-19 สายพันธุ์เดลตา

(-) ตลาดเอเชียปรับลง ตามทิศทางตลาดดาวโจนส์ ท่ามกลางความกังวลเกี่ยวกับการแพร่ระบาด COVID-19 และติดตามธนาคารกลางจีนกำหนดอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ LPR ในเช้านี้ ขณะที่ตลาดหุ้นอินโดนีเซีย, มาเลเซีย, สิงคโปร์ปิดทำการ

(+) ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นเล็กน้อย อยู่ที่บริเวณ 32.83 บาท/ดอลลาร์สหรัฐ

(-) ราคาน้ำมันดิบ NYMEX ลดลง 5.39 ดอลลาร์ หรือ 7.5% ปิดที่ 66.42 ดอลลาร์/บาร์เรล หลังกลุ่มโอเปกพลัสมีมติปรับเพิ่มกำลังการผลิตน้ำมันรวม 2 ล้านบาร์เรล/วัน โดยทยอยปรับเพิ่มเฉลี่ยเดือนละ 400,000 บาร์เรล/วันตั้งแต่เดือนส.ค.ถึงธ.ค. 2021 รวมถึงเพิ่มโควต้าการผลิตของสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (UAE), ซาอุดีอาระเบีย, รัสเซีย คูเวต และอิรัก นอกจากนี้ ถูกกดดันจากการแพร่ระบาด COVID-19

(-) ราคาทองคำ COMEX ลดลง 5.8 ดอลลาร์ หรือ 0.32% ปิดที่ 1,809.2 ดอลลาร์/ออนซ์ จากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์
SPDR Gold Trust ถือครองทองคำ 1,028.55 / +-

- Advertisement -