บริษัทวายแอลจีบูลเลี่ยนแอนด์ฟิวเจอร์ส

ทองคำ
1,804 1,791 1,778
1,833 1,845 1,861

ข่าวสารสําคัญเพื่อประกอบการลงทุน (เพิ่มเติมช่วงบ่าย)
สรุป ราคาทองคำช่วงเช้าแกว่งตัวระหว่าง 1,810.50-1,819.10 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มีการดีดตัวขึ้นจาก Low เมื่อวานนี้ที่ทำไว้บริเวณ 1795.07 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ขณะที่นักลงทุนเกิดความกังวลที่ว่า การระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตาซึ่งกำลังกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดทั่วโลกขณะนี้ อาจทำให้การเปิดเศรษฐกิจไม่สามารถเกิดขึ้นได้รวดเร็วเหมือนกับที่คาดการณ์ไว้ ส่งผลให้ วานนี้ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเป็นเปอร์เซนต์ในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 9 เดือน ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพ.ค.ปีนี้

ด้านตลาดหุ้นเอเชียเช้านี้ร่วงลงต่ออีกกว่า -1% ขณะที่ทางด้านราคาบิตคอยน์ร่วงลงหลุดระดับ 30,000 ดอลลาร์ จึงมีเม็ดเงินไหลเข้าสู่ตลาดทองคำ แม้ว่าดอลลาร์จะขยับแข็งค่าขึ้นเพราะแรงซื้อสกุลเงินปลอดภัยซึ่งสกัดช่วงบวกของราคาทองคำไว้ก็ตาม แต่คาดการอ่อนตัวลงของราคาทองคำจะอยู่ในกรอบจำกัด และมีแรงช้อนซื้อกลับเข้ามาเป็นระยะ

ปัจจัยทางเทคนิค
แนวโน้ม Gold Spot:
ราคาสามารถสร้างฐานเหนือแนวรับ 1,807-1,804 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ มีโอกาสดีดตัวกลับขึ้นไปทดสอบแนวต้าน 1,825-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากราคาไม่สามารถผ่านแนวต้านดังกล่าวได้ราคาจะกลับมาเคลื่อนไหวในกรอบ แต่หากผ่านได้ราคามีโอกาสปรับตัวขึ้นไปหาแนวต้านถัดไปที่ 1,845 ดอลลาร์ต่อออนซ์

กลยุทธ์การลงทุน:
เน้นเก็งกำไรตามกรอบเพื่อรอประเมินสถานการณ์ อาจรอเข้าซื้อเก็งกำไรจากการดีดตัวขึ้นหากการอ่อนตัวลงสามารถยืนเหนือโซน 1,807-1,804 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (สถานะซื้อตัดขาดทุนหากหลุด 1,791 ดอลลาร์ต่อออนซ์)และแบ่งทองคำออกขายทำกำไรหากราคาทองคำไม่ผ่านแนวต้านที่ 1,825-1,833 ดอลลาร์ต่อออนซ์ หากผ่านได้ถือสถานะซื้อต่อ

ข่าวสารประกอบการลงทุน

(+) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดลบหลังดาวโจนส์ดิ่งหนัก เหตุวิตกโควิดฉุดเศรษฐกิจโลก
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดลบในวันนี้ ตามทิศทางดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กที่ปิดร่วงลงกว่า 700 จุดเมื่อคืนนี้ เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่าเศรษฐกิจทั่วโลกจะได้รับผลกระทบการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะไวรัสสายพันธุ์เดลตา ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาการประกาศอัตราดอกเบี้ยเงินกู้ลูกค้าชั้นดี (LPR) ประเภท 1 ปี และประเภท 5 ปีของธนาคารกลางจีน (PBOC)

ในช่วงเช้าวันนี้ ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,515.07 จุด ลดลง 24.05 จุด หรือ -0.68%, ดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 27,351.80 จุด ร่วงลง 300.94 จุด หรือ -1.09% และดัชนี HSI ตลาดหุ้นฮ่องกงเปิดวันนี้ที่ 27,395.83 จุด ลดลง 93.95 จุด หรือ -0.34%

นักวิเคราะห์จากบริษัทคิงส์วิว แอสเซท แมเนจเมนท์ กล่าวว่า ดัชนีดาวโจนส์ร่วงลงเป็นเปอร์เซนต์ในวันเดียวที่รุนแรงที่สุดในรอบเกือบ 9 เดือน ขณะที่ดัชนี S&P500 และ Nasdaq ร่วงลงหนักสุดนับตั้งแต่ช่วงกลางเดือนพ.ค.ปีนี้ เนื่องจากความกังวลที่ว่า การระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตาซึ่งกำลังกลายเป็นสายพันธุ์หลักที่แพร่ระบาดทั่วโลกขณะนี้ อาจทำให้การเปิดเศรษฐกิจไม่สามารถเกิดขึ้นได้รวดเร็วเหมือนกับที่คาดการณ์ไว้

ทั้งนี้ จำนวนผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 พุ่งขึ้นในสหรัฐ อันเนื่องมาจากการแพร่ระบาดของไวรัสสายพันธุ์เดลตา โดยสหรัฐมีผู้ติดเชื้อรายใหม่เฉลี่ย 30,000 รายต่อวันในช่วง 7 วันที่ผ่านมา สูงกว่าค่าเฉลี่ย 11,000 รายต่อวันในเดือนมิ.ย. ส่วนภาพรวมทั่วโลกในขณะนี้ ยอดผู้ติดเชื้อไวรัสโควิด-19 ทั่วโลกสะสมมีจำนวน 191,445,982 ราย และยอดผู้เสียชีวิตอยู่ที่ 4,109,432 ราย

(+) สหรัฐเตือนชาวอเมริกันเลี่ยงเดินทางไปอังกฤษ-อินโดนีเซีย กังวลโควิดระบาดรุนแรง
กระทรวงการต่างประเทศสหรัฐและศูนย์ควบคุมและป้องกันโรค (CDC) ของสหรัฐ ได้ออกแถลงการณ์แนะนำไม่ให้พลเมืองชาวอเมริกันเดินทางไปยังสหราชอาณาจักร อินโดนีเซีย รวมทั้งซิมบับเว ฟิจิ และหมู่เกาะบริติชเวอร์จิน เนื่องจากพื้นที่เหล่านี้กำลังเผชิญกับการแพร่ระบาดระลอกใหม่ของโรคโควิด-19

โดยสหรัฐได้ยกระดับการเตือนภัยด้านการเดินทางขึ้นสู่ระดับ 4 ซึ่งเป็นระดับสูงสุด CDC ได้ออกคำแนะนำไม่ให้พลเมืองชาวอเมริกันเดินทางไปยังสหราชอาณาจักรและอินโดนีเซีย ซึ่งบ่งชี้ว่าพื้นที่เหล่านี้มีอัตราการแพร่ระบาดของโรคโควิด-19 สูง แต่ความเสี่ยงในการติดเชื้อและมีอาการรุนแรงจะน้อยลงหากฉีดวัคซีนครบโดสแล้ว โดยต้องเป็นวัคซีนที่สหรัฐให้การรับรอง

ก่อนหน้านี้ สหรัฐได้แนะนำให้ผู้ที่ต้องการเดินทางไปยังพื้นที่เหล่านี้ “พิจารณาการเดินทางใหม่” ซึ่งเป็นการเตือนภัยระดับ 3 โดยคำเตือนเหล่านี้เป็นคำแนะนำและไม่มีผลผูกมัด แต่อาจกระทบการเดินทางเป็นกลุ่มและค่าเบี้ยประกัน

(+) ไบเดนคาดปัญหาเงินเฟ้อสหรัฐจะเกิดขึ้นชั่วคราว เรียกร้องเฟดเร่งฟื้นฟูศก.
สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า ประธานาธิบดีโจ ไบเดน ของสหรัฐฯ ได้คาดการณ์ว่าการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า และอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯที่เกิดขึ้นในขณะนี้ จะเกิดขึ้นเพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ฝ่ายบริหารของเขายังมีความกังวลว่าอัตราเงินเฟ้อที่ไม่ได้รับการตรวจสอบอาจทำให้เศรษฐกิจของสหรัฐฯเกิดความท้าทายในระยะยาว

ผู้นำสหรัฐฯกล่าวว่า ได้เห็นเศรษฐกิจกลับมาฟื้นตัวได้อย่างแข็งแกร่งและได้เห็นการเพิ่มขึ้นของราคาสินค้า และเขาเชื่อว่าการเพิ่มขึ้นดังกล่าวไม่ใช่ที่สิ่งบ่งชี้ว่าปัญหาเงินเฟ้อของสหรัฐจะยังดำเนินต่อไป ซึ่งฝ่ายบริหารของรัฐบาลสหรัฐฯจะทำทุกวิถีทางเพื่อแก้ไขปัญหาคอขวดของห่วงโซ่อุปทาน และปัญหาเงินเฟ้อ รวมถึงปัญหาในส่วนของราคารถยนต์ โดยสังเกตุได้จากราคารถยนต์ที่ได้ลดลงสู่ระดับปกติ หลังจากเพิ่มขึ้นในช่วงที่เศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวช่วงแรก

นอกจากนี้ประธานาธิบดีไบเดน เผยว่าเขาได้พบกับนายเจอโรม พาวเวลประธานธนาคารกลางสหรัฐฯ (เฟด) และยืนยันว่าเฟดมีความอิสระในการดำเนินงานซึ่งเฟดควรที่จะดำเนินการตามเห็นสมควรเพื่อสนับสนุนการฟื้นฟูเศรษฐกิจสหรัฐฯที่แข็งแกร่งต่อไป แม้จะเผชิญกับปัญหาอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่องในเวลานี้อยู่ก็ตาม

ทั้งนี้ประธานาธิบดีไบเดน ยืนยันว่าเขาจะลงทุนในโครงสร้างพื้นฐานมากขึ้น เช่นเดียวกับการดูแลผู้สูงอายุและเด็กที่ดีขึ้น ซึ่งขั้นตอนเหล่านี้จะช่วยเพิ่มผลผลิตให้กับสหรัฐฯ และเพิ่มค่าจ้างให้กับแรงงานสหรัฐฯ โดยรัฐบาลพร้อมที่จะดำเนินการอย่างจริงจังเพื่อผลประโยชน์ของประชาชนอเมริกันในอนาคต

(+) ธนาคารพัฒนาเอเชีย(ADB) หั่นจีดีพีไทยปีนี้เหลือโต 2% จากเดิมคาดโต 3%
ธนาคารพัฒนาเอเชีย (ADB) หั่นเป้าจีดีพีไทยปีนี้เหลือโต 2% เหตุโควิด-19 ระบาดรุนแรง กระทบการบริโภค-ลงทุนชะลอ ด้านธปท. เปิดผลสำรวจนักวิเคราะห์ไทยคาด จีดีพีไทยปีนี้เหลือโต 1.3% ส่วนปี 65 คาดโต 3%

นายยาซูยูกิ ซาวาดะ หัวหน้านักเศรษฐศาสตร์ ธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) เปิดเผยว่า เอดีบี ได้ปรับประมาณการอัตราการขยายตัวของเศรษฐกิจไทย (จีดีพี) ปีนี้ ลดลงเหลือโต 2% จากเดิมคาดโต 3% เนื่องจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ระลอก3 เมื่อเดือนเม.ย. ที่ผ่านมา ซึ่งเป็นปัจจัยเสี่ยงหลัก ส่งผลให้การบริโภคภาคเอกชนและการลงทุนลดลง โดยเฉพาะเครื่องจักรกลและอุปกรณ์ต่างๆ

ขณะที่การจำกัดการท่องเที่ยวที่ยังดำเนินอยู่ทำให้นักท่องเที่ยวลดลงอย่างต่อเนื่องเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ส่วนจีดีพีในปี 65 คาดว่าจะขยายตัวได้ 4.9% จากเดิมคาดว่าจะขยายตัวได้ 4.5%

ที่มา : อินโฟเควสท์, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, The Standard และ Efinancethai

- Advertisement -