บล.หยวนต้า (ประเทศไทย):

PRIMA MARINE กำไรสุทธิ 2Q64 ดูดี แต่กำไรปกติน่าผิดหวัง

Action

BUY (Maintain)

TP upside (downside) +26%

Close Aug 11, 2021 Price (THB) 6.60

12M Target (THB) 8.30

Previous Target (THB) 12.50

What’s new?

  • กาไรสุทธิ 2Q64 ทำได้ 424 ล้านบาท ทรงตัวทั้ง QoQ และ YoY แต่ถ้าหักกำไรจากการขายเรือ FSU 2 ลำ และรายการพิเศษอื่นๆ ออก กำไรปกติเหลือเพียง 232 ล้านบาท ลดลง 40% QoQ และ 49% YoY เพราะ ความต้องการเรือ FSU ทรุดตัวอย่างรวดเร็ว

Our View

  • เราปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-2565 ลง 8% และ 10% จากคาดการณ์เดิมเหลือ 1,505 ล้านบาท (-2%YoY) และ 1,474 ล้านบาท (-2%YoY) ตามลำดับ เพื่อให้สะท้อนกับการชะลอตัวของธุรกิจ FSU และค่าใช้จ่ายท่ีเพิ่มขึ้นในช่วงแรกจากการรวมธุรกิจกับไทยออยล์มารีน
  • ราคาหุ้นร่วงรับผลประกอบการท่ีชะลอตัวไปมากแล้ว จึงแนะนำถือเพื่อรอการฟื้นตัวใน 4Q64

กำไรสุทธิ 2Q64 อยู่ที่ 424 ล้านบาท ทรงตัวทั้ง QoQ และ YoY

PRM รายงานกำไรสุทธิ 2Q64 ที่ 424 ล้านบาท ทรงตัว QoQ แต่ลดลง 4% YoY แต่มีกำไรพิเศษจากการขายเรือ FSU 2 ลำ 189 ล้านบาทถ้าหักออก พร้อมรายการที่ไม่เกี่ยวกับธุรกิจหลัก กำไรปกติจะอยู่ที่ 232 ล้านบาทลดลง 40%QoQ และ 49%YoY ถือว่าต่ำกว่าคาดมาก สาเหตุมาจากการชะลอตัวในทุกส่วนธุรกิจ โดยเฉพาะเรือจัดเก็บน้ำมันกลางทะเล (FSU) ที่ความต้องการลดลงเร็วจนกดดันค่าบริการทรุดตัวสวนทางกับต้นทุนน้ำมันเชื้อเพลิงที่ปรับตัวเพิ่มขึ้น จึงกดดันอัตรากำไรขั้นต้นอ่อนตัวลงเหลือ 46.1% จาก 53.4% ใน 1Q64 และ 64.0% ใน 2Q63 ส่วนธุรกิจเรือขนส่งน้ำมันในประเทศ แม้รายได้รวมจะเพิ่มขึ้น 5%QoQ และ 24%YoY อยู่ที่ 577 ล้านบาท จากผลของการเข้าซื้อบริษัท ทรูธ มาริไทม์ จำกัด (ไทยออยล์มารีนเดิม) ตั้งแต่ปลายเดือน เม.ย. 64 ซึ่งทำให้มีเรือบริการเพิ่มอีก 5 ลำ แต่อัตรากำไรขั้นต้นในช่วงแรกยังอยู่ในระดับต่ำ เพราะเป็นช่วงปรับโครงสร้างให้เกิด Synergy ระยะยาว และปริมาณการขนส่งยังต่ำกว่าภาวะปกติจากแรงกดดันของสถานการณ์ COVID-19 ในประเทศ

ด้วยปัจจัยกดดันที่กล่าวมาข้างต้น จึงทำให้อัตรากำไรขั้นต้นเฉลี่ยลดลงเหลือเพียง 29.7% จาก 38.4% ใน 1Q64 และ 47.6% ใน 2Q63 ขณะที่ค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารยังควบคุมได้ดีแม้สัดส่วนค่าใช้จ่ายในการขายและบริหารต่อรายได้รวมจะเพิ่มขึ้นเป็น 7.6% จาก 6.0% ใน 1Q64 แต่ส่วนหนึ่งเป็นเพราะค่าใช้จ่ายในการควบรวมกิจการกับไทยออยล์มารีน และเมื่อเทียบกับปีก่อนยังต่ำกว่า 10.4% ใน 2Q63

ปรับประมาณการลงเพราะ FSU ผ่านจุด Peak ไปแล้ว

ผลจากการ Downside ธุรกิจเรือจัดเก็บน้ำมันกลางทะเล (FSU) และการรอ Synergy ร่วมกับไทยออยล์มารีนซึ่งคาดว่าจะหนุนผลประกอบการได้อย่างเร็วในช่วงปลาย 4Q64 เราจึงปรับประมาณการกำไรสุทธิปี 2564-2565 ลง 8% และ 10% จากคาดการณ์เดิมเหลือ 1,505 ล้านบาท (-2% YoY) และ 1,522 ล้านบาท (+1% YoY) ส่วนคาดการณ์กำไรปกติอยู่ที่ 1,383 ล้านบาท (-17%YoY) และ 1,511 ล้านบาท (+9%YoY) ตามลำดับ โดยเราปรับลดประมาณการธุรกิจเรือเก็บน้ำมันกลางทะเล (FSU) และเรือขนส่งน้ำมันในประเทศที่ถูกกดดันจากการสถานการณ์ COVID-19 มากกว่าที่ประเมินไว้เป็นสำคัญ

Downside ของราคาหุ้นถูกจำกัดด้วย Valuation ที่ไม่แพง แต่ต้องรอการฟื้นตัว

ผลจากการปรับประมาณการลงทำให้เราปรับลดราคาเหมาะสมปี 2564 เหลือ 8.30 บาทจาก 12.50 บาท โดยเราได้มีการปรับลด PER Multiplier เหลือ 15 เท่าซึ่งเป็นระดับ -1 S.D. ของค่าเฉลี่ยตั้งแต่เข้าตลาดฯ ที่ 22 เท่าควบคู่ไปด้วย เนื่องจากคาดว่าผลประกอบการของ PRM จะเข้าสู่โหมดพักฐานอีก 2 ไตรมาสข้างหน้าเป็นอย่างน้อย อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่ราคาหุ้นอ่อนตัวรับผลประกอบการที่ชะลอตัวมาแล้วระดับหนึ่งโดย -18% YTD เทียบกับกลุ่มขนส่งที่ -2% YTD และ SET Index ที่ + 6% YTD กอปรกับในเชิง valuation ที่อิงประมาณการอย่างระมัดระวังถือว่าอยู่ในโซนที่ไม่แพงโดย PER2564-2565 อยู่ที่เพียง 11 เท่าคิดเป็นระดับ -2 S.D. ของค่าเฉลี่ยในอดีต ในเชิงกลยุทธ์การลงทุนจึงแนะนำ ถือรอการฟื้นตัว ส่วนถ้าจะซื้อเพื่อถัวเฉลี่ยต้นทุน แนะนำรอหลังประกาศงบ 3Q64 ที่คาดว่าจะเป็นจุดต่ำสุดของวัฏจักรผลประกอบการในรอบนี้

ความเสี่ยง – ความผันผวนของราคาน้ำมันและสัญญาเรือ FSU ที่เป็นแบบระยะสั้น

- Advertisement -