บล.ทรีนีตี้ :
เจริญโภคภัณฑ์อาหาร – CPF กำไร 2Q64 อ่อนตัวหลังธุรกิจฟาร์มสัตว์บกกดดัน
- กำไร 2Q64 อยู่ที่ 4,737 ล้านบาทอ่อนตัว 32%QoQ และ 21%YoY ต่ำกว่าคาดเล็กน้อย
- ราคาหมูในไทยเวียดนามและจีนอ่อนตัวลง กดดันผลประกอบการ
- ขณะที่บริษัทร่วมมีผลประกอบการอ่อนตัวลงเช่นกัน
- คาด 2H64 ยังมีแรงกดดันจากราคาหมูในไทยและเวียดนาม (แม้ว่าราคาหมูจีนจะฟื้นตัวขึ้นมาได้บ้าง) และต้นทุนอาหารสัตว์ที่สูงขึ้น
- ปรับลดประมาณการกำไรปี 64 อีกราว 10% จากประมาณการก่อนหน้า
- ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 33 บาท ราคาหุ้นอาจได้รับผลกระทบจากผลประกอบการระยะสั้น แต่ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว
กำไร 2Q64 อ่อนตัวหลังธุรกิจฟาร์มสัตว์บกกดดัน
CPF ประกาศกำไรสุทธิ 2Q64 ที่ 4,737 ล้านบาท อ่อนตัว 32%QoQ และ 21%YoY ต่ำกว่าที่คาดไว้ก่อนหน้าเล็กน้อยราว 3% โดยรายได้เติบโต 9%QoQ แต่อัตรากำไรขั้นต้นอ่อนตัวลงจากไตรมาสก่อนที่ 19.93% มาอยู่ที่ 16.38% เนื่องจากราคาหมูในไทยและเวียดนามที่อ่อนตัวลงค่อนข้างมาก นอกจากนี้ส่วนแบ่งกำไรจากบริษัทร่วมยังอ่อนตัวลงถึง 63%QoQ เนื่องจากบริษัทร่วมส่วนใหญ่มีผลประกอบการอ่อนตัว โดยเฉพาะ CT ที่เป็นธุรกิจหมูในจีนได้รับผลกระทบจากราคาหมูในจีนที่อ่อนตัวลงมาก จนมีส่วนแบ่งขาดทุนขณะที่ CPALL และ Hylife มีผลประกอบการอ่อนตัวลงจากสถานการณ์โรคระบาด
แนวโน้ม 2H64 ยังมีความไม่แน่นอนสูง ปรับประมาณการลง
กำไรงวด 1H64 คิดเป็นราว 51% ของประมาณการกำไรทั้งปี 2564 เดิมที่เราคาดไว้สำหรับแนวโน้มกำไร 2H64 ยังมีความไม่แน่นอนสูง แม้ว่าราคาหมูในจีนจะเริ่มฟื้นตัวขึ้นมาบ้างหลังการเทขายหมูของเกษตรกรลดลงกลับมาอยู่ที่ราว 21-22 หยวน/กก. (จากที่ตกไปต่ำสุดที่ราว 12-13 หยวน/กก.) แต่ราคาหมูในไทยและเวียดนามอาจมีแนวโน้มอ่อนตัวลงเนื่องจากผลกระทบจากการระบาดของโรค และการปิดเมืองทำให้การบริโภคลดลง นอกจากนี้ต้นทุนอาหารสัตว์ทั้งกากถั่วเหลืองและข้าวโพดในหลายประเทศยังปรับตัวขึ้น กดดันอัตรากำไร แม้ว่าทางบริษัทมีแผนจะเพิ่มกำลังการผลิตหมูในจีนและเวียดนามเพื่อชดเชยอัตรากำไรที่ลดลงด้วยปริมาณขายที่เพิ่มขึ้น แต่คาดว่าจะไม่สามารถชดเชยผลกระทบด้านลบได้หมด ทำให้แนวโน้ม 2H64 อาจอ่อนตัวลงได้ เราจึงปรับลดประมาณการกำไรปี 2564 ลงอีกราว 10% จากประมาณการเดิมมาอยู่ที่ 20,432 ล้านบาท (-22%YoY)
ให้ราคาเป้าหมายใหม่ 33 บาท
เราปรับราคาเป้าหมายใหม่เป็น 33 บาท เพื่อสะท้อนการปรับลดประมาณการโดยแนวโน้มธุรกิจอาจไม่โดดเด่นเช่นในปี 2563 แต่ภาพรวมยังดีกว่าในอดีตค่อนข้างมาก และคาดกำไรปี 2565 จะกลับมาเติบโตได้ ทำให้เรามองว่าราคาหุ้นอาจได้รับผลกระทบจากผลประกอบการระยะสั้นบ้าง โดยเฉพาะใน 2H64 แต่ยังคงคำแนะนำ “ซื้อ” สำหรับการลงทุนระยะยาว
ความเสี่ยง: การระบาดของ COVID ระลอกใหม่ / ต้นทุนทางการเงินที่เพิ่มขึ้น