SET มีโอกาสปรับฐาน ระยะสั้นแนะเก็งกำไรโรงกลั่น

Investment Ideas:

  • ภาพรวมการลงทุน – เราคาดว่า SET สัปดาห์นี้ (28 มี.ค. ถึง 1 เม.ย.) จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,645-1,695 จุด (แนวรับ 1,655-1,645 จุด แนวต้าน 1,680-1,695 จุด) SET สัปดาห์ที่ผ่านมา ปิดที่ 1,676.80 จุด ลดลง 1.71 จุด (-0.1%) ด้วยมูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 7.09 หมื่นล้านบาท ลดลง 16%Wow ขณะที่สัปดาห์นี้ โดยสัปดาห์นี้มีประเด็นที่น่าติดตามอยู่ที่การประชุม กนง. (30 มี.ค.) สถานการณ์โควิด-19 ทั้งในและต่างประเทศ และสถานการณ์ความไม่แน่นอนระหว่างรัสเซียและยูเครน เราคาดว่า SET สัปดาห์นี้จะเคลื่อนไหวในกรอบ Sideway ถึง Sideway down โดยเราประเมินว่า (1) ทิศทางค่าเงินดอลลาร์ที่แข็งค่าขึ้น (2) ความกังวลต่อภาพรวมเศรษฐกิจของยุโรปที่ได้รับผลกระทบจากสงครามรัสเซีย-ยูเครน และ (3) การคาดหมายการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุมเดือน พ.ค. (3-4 พ.ค.) และมีโอกาสที่เฟดจะปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยมากกว่า 0.25% รวมไปถึงการประชุมรอบเดือน มิ.ย. (14-15 มิ.ย.) จะยิ่งเป็นปัจจัยทำให้ Fund Flow มีโอกาสไหลกลับตลาดหุ้นสหรัฐฯ นอกจากนี้ ภาพรวมตลาดหุ้นในเดือน เม.ย. มีโอกาสปรับฐานลงต่อเนื่อง จากความกังวลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด โดยเฉพาะการทำ OT (Quantitative Tightening) กลยุทธ์การลงทุนเราแนะนำทยอยสะสมหุ้นในกลุ่มกลุ่มธนาคาร เราเลือก KBANK BBL และ TTB กลุ่มอุปโภคบริโภค และกลุ่มค้าปลีก HMPRO CPALL และ MAKRO เพื่อลงทุนระยะยาว และแนะนำทยอยสะสมหุ้นในกลุ่มที่เกี่ยวกับการ ท่องเที่ยว เลือก AOT AAV ERW และ SHR เป็นหุ้นเด่น เพื่อลงทุนในลักษณะเก็งกำไร จากการผ่อนคลาย มาตรการเข้าประเทศต่อเนื่อง ยกเลิกระบบไทยแลนด์ พาส (Thailand Pass) เพื่อให้การท่องเที่ยวไทยกลับเข้าสู่ช่วงก่อนเกิดการระบาดโควิด-19 (ปี 2562) คาดเริ่ม 1 มิ.ย. เพื่อให้ภาคการท่องเที่ยวเริ่มฟื้นตัวกลับเข้าสู่ภาวะปกติมากขึ้น รวมไปถึงหุ้นเครื่องดื่ม เราเลือก SAPPE OSP และ CBG และหุ้นใน กลุ่ม Defensive ได้แก่ BH BDMS ADVANC INTUCH BLA BEM
  • Trading Ideas: ค่าการกลั่นฟื้นตัว หนุนผลประกอบการ 1Q65 แข็งแกร่ง เราเลือก BCP และ SPRC เป็นหุ้น เด่น – ค่าการกลั่นปรับเพิ่มในทุกกลุ่มผลิตภัณฑ์สำคัญ โดยเฉพาะค่าการกลั่นน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และ น้ำมันเครื่องบิน ในช่วง 1Q65QTD ที่ปรับเพิ่ม 15%QºQ 63%QoQ และ 42%QoQ ตามลำดับ การปรับ เพิ่มขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์สำคัญ เป็นผลมาจากอุปทานน้ำมันที่ตึงตัว โดยเฉพาะข้อจำกัดในการส่งออกน้ำมัน ดีเซลจากตะวันออกกลาง ขณะที่ความต้องการใช้ในภูมิภาคเอเชียและยุโรปปรับเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการดำเนิน นโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในหลายประเทศ ลดข้อจำกัดในการเดินทาง ซึ่งเราจะเริ่มเห็นเพิ่มมากขึ้นในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า ปัจจัยดังกล่าวจะยิ่งเป็นปัจจัยหนุน Demand น้ำมัน โดยเฉพาะน้ำมันในกลุ่ม Middle Distillate ปัจจัยบวกข้างต้น ทำให้หุ้นในกลุ่มธุรกิจการกลั่นยังคงน่าสนใจในการลงทุน โดยค่าการกลั่นตลาดสิงค์โปร์ (S-GRM) เฉลี่ย 1Q65QTD อยู่ที่ 7.27 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 19%QoQ และเพิ่มขึ้น 306%YoY เรามองเป็นบวกต่อ BCP ESSO SPRC TOP IRPC และ PTTGC
  • ติดตามการประชุม กนง. (30 มี.ค.) คาดคงดอกเบี้ย 0.5% ปรับลดประมาณการ GDP ปี 65 – การประชุม ของคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) วันที่ 30 มี.ค. ซึ่งจะเป็นรอบการประชุมสุดท้ายของไตรมาสแรก ปี 65 เราคาดว่า กนง. จะยังมีมติคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ที่ 0.5% โดยประเด็นที่น่าสนใจอยู่ที่ (1) แนวโน้มการดำเนินงานนโยบายการเงินของ ธปท. หลังอัตราเงินเฟ้อในประเทศปรับเพิ่มในอัตราเร่ง และ (2) การปรับลดประมาณการ GDP ในปี 2565 ซึ่งทั้งสองส่วนเป็นผลมาจากการปรับเพิ่มขึ้นของราคาน้ำมันดิบในตลาดโลกที่สูงกว่าคาด โดยปกติการปรับลดประมาณการ GDP (เดิม กนง. คาด GDP ไทยปี 65 เติบโต 3.4%) จะเป็นลบต่อหุ้นในกลุ่ม Domestics play โดยเฉพาะ 4 Sector หลัก ได้แก่ (1) กลุ่มธนาคาร (2) กลุ่มอุปโภคบริโภค รวมทั้งกลุ่มค้าปลีก (3) กลุ่มอสังหาริมทรัพย์ และ (4) กลุ่มที่เกี่ยวกับการท่องเที่ยว
  • รายงานตัวเลขทางด้านเศรษฐกิจที่สำคัญ – ผลสำรวจของมหาวิทยาลัยมิชิแกนระบุดัชนีความเชื่อมั่นของผู้บริโภคสหรัฐฯ ปรับตัวลงสู่ระดับ 59.4 จุด ในเดือน มี.ค. (ต่ำกว่าตัวเลขประมาณการเบื้องต้นที่ระดับ 59.7 จุด และต่ำกว่าที่ Market Consensus คาดไว้ที่ 62.8 จุด) ซึ่งเป็นระดับต่ำสุดในรอบกว่า 10 ปี โดยเป็นการลดลงต่อเนื่องจากเดือน ก.พ. ที่ระดับ 62.8 จุด ทั้งนี้ดัชนีความเชื่อมั่นได้รับผลกระทบจากความกังวลเกี่ยวกับเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้น ตามการปรับขึ้นของราคาน้ำมัน
  • มุมมองทางเทคนิค – เราคาดว่า SET วันนี้ จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,665-1,685 จุด / หุ้นแนะนำปัจจัยทาง เทคนิค เราเลือก CRC KTIS และ BCP

Core Investment

  1. กลุ่มที่ได้ประโยชน์ Seasonal Demand (ซื้อขายระยะสั้น 1 เดือน) – SAPPE OSP และ CBG
  2. กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากค่าการกลั่นฟื้นตัว (ซื้อขายระยะสั้น 1 เดือน) – BCP และ SPRC
  3. กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากการเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยว (ซื้อขายระยะสั้น 1-2 เดือน) – AOT BAFS AAV BA ERW CENTEL MINT และ SHR
  4. กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากกำลังซื้อในประเทศฟื้นตัว (ซื้อขายระยะสั้น 1-3 เดือน) – BEM SPRC BEC ONEE BJC CRC CPALL OSP CBG MAKRO และ HMPRO
  5. กลุ่มที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้น (ซื้อขายระยะสั้น 1-3 เดือน) – BLA และ TIPH
  6. Dividend Play (ซื้อขายระยะยาว มากกว่า 6 เดือน) – KKP TISCO TCAP LH QH AP SPALI ORI RATCH และ TVO
  7. DCA – หุ้นสะสมระยะยาว (ซื้อขายระยะยาว มากกว่า 1 ปี) – PTT AOT BEM GULF ADVANC INTUCH BDMS HMPRO KBANK และ KKP

ตลาดต่างประเทศ (อินโฟเควสท์):

  • ตลาดหุ้นสหรัฐฯ : ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปิดที่ 34,861.24 จุด เพิ่มขึ้น 153.30 จุด (+0.44%) และดัชนี S&P500 ปิดที่ 4,543.06 จุด เพิ่มขึ้น 22.90 จุด (+0.51%) ขณะที่ดัชนี Nasdaq ปิดที่ 14,169.30 จุด ลดลง 22.54 จุด (-0.16%) ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปรับเพิ่มขึ้น เช่นเดียวกับดัชนี S&P500 ปิดเพิ่มขึ้นด้วยจากแรงซื้อหุ้นในกลุ่มการเงิน หลังจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับเพิ่มขึ้นสู่ระดับสูงสุดในรอบเกือบ 3 ปี โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา ดัชนีเฉลี่ยอุตสาหกรรมดาวโจนส์ปรับเพิ่มขึ้น 0.3% ดัชนี S&P500 เพิ่มขึ้น 1.8% และดัชนี Nasdaq เพิ่มขึ้น 2%
  • ตลาดหุ้นยุโรป : ดัชนี Stoxx Europe 600 ปิดที่ 453.55 จุด เพิ่มขึ้น 0.48 จุด (+0.11%) ตลาดหุ้นยุโรปปรับเพิ่มขึ้นเล็กน้อย ขณะที่นักลงทุนยังคงจับตาสถานการณ์สงครามในยูเครน และประเมินแนวโน้มนโยบายการเงินทั่วโลก

สินค้าโภคภัณฑ์ (อินโฟเควสท์):

  • ราคาน้ำมันดิบ : สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ค. ปิดที่ 113.90 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 1.56 เหรียญ (+1.4%) และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือน พ.ค. ปิดที่ 120.65 เหรียญต่อบาร์เรล  เพิ่มขึ้น 1.62 เหรียญ (+1.4%) สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปรับเพิ่มขึ้น เนื่องจากนักลงทุนวิตกเกี่ยวกับการขาดแคลนน้ำมันอีกครั้ง หลังมีรายงานว่าโรงงานน้ำมันของซาอุดีอาระเบียถูกโจมตี โดยกลุ่มกบฏฮูตีในเยเมนเปิดเผยข้อมูลดังกล่าวว่าทางกลุ่มได้ยิงขีปนาวุธโจมตีคลังน้ำมันของบริษัทซาอุดีอารามโคในเมืองเจดดาห์ของซาอุดีอาระเบีย ซึ่งเป็นการโจมตีครั้งที่ 3 แล้ว ในรอบไม่ถึง 1 สัปดาห์ ประเด็นดังกล่าวเพิ่มความเสี่ยงต่อปัญหาด้านอุปทาน หลังจากก่อนหน้านี้ตลาดน้ำมันดิบได้รับผลกระทบของความขัดแย้งระหว่างรัสเซียและยูเครน โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สัญญาน้ำมันดิบ WTI ส่งมอบเดือน พ.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 10.5%WoW และสัญญาน้ำมันดิบเบรนท์ (BRENT) ส่งมอบเดือน พ.ค. ปรับเพิ่มขึ้น 11.8%WoW
  • ราคาทองคำ : สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน เม.ย. ปิดที่ 1,954.2 เหรียญต่อออนซ์ ลดลง 8 เหรียญ (-0.41%) สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปรับลดลง โดยถูกกดดันจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เพิ่มขึ้นอย่างมาก ซึ่งจะเพิ่มต้นทุนค่าเสียโอกาสในการถือครองทองคำ เนื่องจากทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่มีผลตอบแทนในรูปดอกเบี้ย โดยในรอบสัปดาห์ที่ผ่านมา สัญญาทองคำตลาด COMEX (Commodity Exchange) ส่งมอบเดือน เม.ย. ปรับตัวขึ้น 1.3%WoW
  • ราคาถ่านหิน : ราคาถ่านหินตลาดล่วงหน้า (Newcastle) ส่งมอบเดือน มี.ค. 65 ล่าสุด ปิดที่ 264.2 เหรียญต่อตัน ลดลง 11.75 เหรียญ (-4.26%)
  • ค่าระวางเรือ : Baltic Dry Index (BDI) ล่าสุดปิดที่ 2,544 จุด ลดลง 23 จุด (-0.9%)

ข่าวอื่นๆ

  • AH ประกาศชัด อุตสาหกรรมยานยนต์ฟื้นตัวแข็งแกร่ง อีวีโอกาสโตสูง หลังรัฐเดินหน้ากระตุ้น แย้มค่ายรถยนต์ปีนี้ตื่นตัว งานมอเตอร์โชว์เจรจาลูกค้าต่อเนื่อง ธุรกิจตัวแทนจำหน่ายรถฟื้น รถยนต์ยี่ห้อ MG ขายดี มั่นใจรายได้โต 30% มาเลเซียฟื้นแกร่ง (ทันหุ้น)
  • PTG มองรัฐเตรียมช่วยจ่าย 50% น้ำมันดีเซลหลังสิ้นสุดตรึงราคาในเดือนเมษายนนี้ เป็นเรื่องดีแต่ต้องติดตามการปรับโครงสร้างราคาใหม่ พร้อมปรับราคาตามต้นทุนที่แท้จริง ระบุค่าการตลาดมีทิศทางที่ดี ด้านปริมาณการเติมน้ำมันฟื้นตัว คาดวันหยุดยาวสงกรานต์หนุน ปริมาณขายทั้งปีโต 8-12% ลุยขยายธุรกิจ Non-Oil ต่อยอดโต ส่วนการติดตั้งสถานีชาร์จรถอีวียังเดินหน้าตามแผน (ทันหุ้น)
  • HPT ออเดอร์ต่างชาติล้นข้ามปี หนุนแบ็กล็อกทำสถิติสูงสุดใหม่ที่ 149 ล้านบาท สบช่องโกยรายได้ใหม่สินค้า ตกแต่งบ้าน พร้อมอัดงบลงทุน 10 ล้านบาท ติดตั้งโซลาร์รูฟท็อปลดต้นทุนค่าไฟ 35% หนุนมาร์จิ้นพุ่ง (ทันหุ้น)
- Advertisement -