แนวโน้มการลงทุนประจําเดือน เมษายน 2565

ปัจจัยที่ส่งผลกระทบต่อการลงทุน

  1. 7 เม.ย. รายงานการประชุม FOMC
  2. 12 เม.ย. ผลการสำรวจการให้กู้ยืมเงินของธนาคารพาณิชย์ในยุโรป
  3. 13 เม.ย. การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารยุโรป
  4. 20 เม.ย. การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางจีน
  5. 21 เม.ย. รายงานสรุปภาวะเศรษฐกิจ (Beige Book) สหรัฐอเมริกา
  6. 22-24 เม.ย. การประชุม IMF
  7. 28 เม.ย. การกำหนดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางญี่ปุ่น

กลยุทธ์การลงทุนในเดือนเมษายน 2565

เราคาดว่า SET ในเดือน เม.ย. จะเคลื่อนไหวในกรอบ 1,600-1,695 จุด (แนวต้าน 1,680/1,695 จุด และแนวรับ 1,620/1,600 จุด) ปัจจัยกดดันภาพรวมการลงทุนเดือน เม.ย. อยู่ที่การคาดหมายผลการประชุมเฟด ระหว่างวันที่ 3-4 พ.ค. โดยเฉพาะความกังวลต่อการดำเนินนโยบายการเงินของเฟด โดยเฉพาะการทำ QT (Quantitative Tightening) ซึ่งปัจจุบัน US Current Balance sheet อยู่ที่ 8.9 ล้านล้านเหรียญ กรณี Base Case คาดว่าจะลดลงเหลือ 8.5 ล้านล้านเหรียญ ภายในสิ้นปี 2565 และลดลงเหลือ 7.7 และ 7.0 ล้านล้านเหรียญ ภายในสิ้นปี 2566-2567 แต่กรณีแย่สุดจะลดลงเหลือ 7.3 ล้านล้านเหรียญ ภายในสิ้นปี 2565 และลดลงเหลือ 6.0 และ 5.0 ล้านล้านเหรียญ ภายในสิ้นปี 2566-2567 ปัจจัยดังกล่าวจะยิ่งทำให้ Fund Flow ไหลกลับตลาดหุ้นสหรัฐฯ นอกจากนี้ภาพรวมตลาดหุ้นในเดือน เม.ย. มีโอกาสปรับฐานลงต่อเนื่อง ถือเป็นความเสี่ยงกดดัน Sentiment การลงทุนในเดือน เม.ย. นอกจากนี้มุมมองต่อการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายของเฟด เราคาดว่าเฟดจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยในการประชุม เดือน พ.ค. (3-4 พ.ค.) และการประชุมรอบเดือน มิ.ย. (14-15 มิ.ย.) ครั้งละ 50bps ซึ่งจะทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบาย เฟด 6M65 อยู่ที่ 1.25%

กลยุทธ์การลงทุน

(1) แนะนำรอซื้อหุ้นในกลุ่มธนาคาร เราเลือก KBANK BBL และ TTB และกลุ่มอุปโภคบริโภค และกลุ่มค้าปลีก HMPRO CPALL และ MAKRO และ

(2) แนะนำลงทุน หุ้นที่ได้ประโยชน์จากนโยบายผ่อนคลายการเดินทางเข้าประเทศ เรามองเป็นบวกต่อหุ้นในกลุ่มท่องเที่ยวและโรงพยาบาล เราเลือก AOT AAV ERW SHR BH และ BDMS

(3) หุ้นในกลุ่มเครื่องดื่ม จาก Seasonal Demand เราเลือก SAPPE OSP และ CBG

(4) หุ้นในกลุ่ม Defensive ได้แก่ ADVANC INTUCH BLA และ BEM และ

(5) หุ้นในกลุ่ม Earnings Play ได้แก่ หุ้นในกลุ่มพลังงาน ในลักษณะเก็งกำไร โดยเน้นหุ้นในกลุ่มธุรกิจการกลั่น

หุ้นเด่นในเดือน เม.ย. 2565 เราเลือก OSP BCP และ SPRC

OSP

  • EPS  1.21 บาทต่อหุ้น P/B 5.0 เท่า  ราคาปัจจุบัน 37.50 บาทต่อหุ้น ราคาเป้าหมาย 39.50 บาทต่อหุ้น
  • เราคาดว่าผลประกอบการ 1Q65 ฟื้นตัว QoQ มีโมเมนตัมที่ดีต่อเนื่อง โดยยอดขายเดือน ม.ค. 65 เติบโต YoY หลังผ่อนคลายมาตรการล็อกดาวน์ ปี 2565 บริษัทตั้งเป้าเติบโตจากตลาดในประเทศและตลาดต่างประเทศ โดยเน้นสินค้าเพื่อสุขภาพ สินค้าพรีเมียม มีแผนเปิดตัว M-150 สูตรใหม่ ในราคาพรีเมียม 12 บาท รวมถึงการร่วมมือกับพันธมิตร (ยันฮี) ออกสินค้าใหม่ เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์กัญชง ล่าสุดบริษัทได้ร่วมมือกับ Koikeya เซ็นสัญญาเป็น Distributor ให้กับสินค้า เริ่มในเดือน ม.ค. 65 และการเริ่มพัฒนาผลิตภัณฑ์ ของใช้ส่วนบุคคลอีกครั้ง หลังสถานการณ์ COVID-19 เริ่มคลี่คลาย ขณะที่ตลาดต่างประเทศจะให้ความสำคัญกับตลาดเมียนมาร์ ลาว กัมพูชาและอินโดนีเซีย ซึ่งคาดว่าจะเห็นการเติบโตที่ดี รวมถึงมีแผนขยายผลิตภัณฑ์ C-Vitt ไปยังลาวและกัมพูชา ด้านต้นทุนวัตถุดิบที่เพิ่มสูงขึ้น ทั้งราคาแก๊ส อลูมิเนียม และน้ำตาล คาดว่ากระทบจำกัด เนื่องจากบริษัทได้ล็อกราคาอลูมิเนียมไว้ถึงปลายปี 2565 แล้ว นอกจากนี้บริษัทได้ปรับเพิ่มราคาขายกับลูกค้าทั้งในและต่างประเทศ ทำให้เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2565 เติบโต 11%YoY แนะนำ “ซื้อ” ให้ราคาเป้าหมาย 39.50 บาท อิง PER ที่ 33 เท่า

SPRC

  • EPS  1.21 บาทต่อหุ้น P/B 1.1 เท่า  ราคาปัจจุบัน 9.85 บาทต่อหุ้น ราคาเป้าหมาย 12.00 บาทต่อหุ้น
  • เรายังให้คำแนะนำ “ซื้อ” และให้ราคาเป้าหมายไว้ที่ 12 บาท เรามอง 2 ปัจจัยที่ทำให้ SPRC ยังคงมีความน่าสนใจในการลงทุน (1) ราคาหุ้นที่ต่ำกว่ากลุ่ม และสะท้อนปัจจัยลบจากเหตุเหตุการณ์น้ำมันดิบรั่วไหลบริเวณทุ่นผูกเรือน้ำลึกแบบทุ่นเดี่ยวกลางทะเล หรือจุดขนถ่ายน้ำมันในทะเล (SPM) เมื่อวันที่ 25 ม.ค. 65 และ (2) ราคาน้ำมันดิบ และค่าการกลั่นที่กลับมาฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยปัจจุบันค่าการกลั่น (S-GRM) ในช่วง 1Q65QTD อยู่ที่ 7.7 เหรียญต่อบาร์เรล เพิ่มขึ้น 26%QoQ และเพิ่มขึ้น 331%YoY โดยเฉพาะค่าการกลั่นน้ำมันเบนซิน น้ำมันดีเซล และน้ำมันเครื่องบิน ในช่วง 1Q65QTD ที่ปรับเพิ่ม 15%QoQ 63%QoQ และ 42%QoQ ตามลำดับ การปรับเพิ่มขึ้นของราคาผลิตภัณฑ์สำคัญ เป็นผลมาจากอุปทานน้ำมันที่ตึงตัว โดยเฉพาะข้อจำกัดในการส่งออกน้ำมันดีเซลจากตะวันออกกลาง ขณะที่ความต้องการใช้ในภูมิภาคเอเซียและยุโรปปรับเพิ่มขึ้น รวมไปถึงการดำเนินนโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวในหลายประเทศ ลดข้อจำกัดในการเดินทาง ซึ่งเราจะเริ่มเห็นเพิ่มมากขึ้นในช่วง 1-2 เดือนข้างหน้า ปัจจัยดังกล่าวจะยิ่งเป็นปัจจัยหนุน Demand น้ำมัน โดยเฉพาะน้ำมันในกลุ่ม Middle Distillate ปัจจัยบวกข้างต้นเป็นปัจจัยหนุนผลประกอบการ 1Q65 ขณะที่ภาพรวมปี 2565 เราคาดว่าบริษัทจะมีกำไรสุทธิอยู่ที่ 5.76 พันล้านบาท เพิ่มขึ้น 21.4%YoY

BCP

  • EPS 3.46 บาทต่อหุ้น P/B 0.7 เท่า  ราคาปัจจุบัน 29.50 บาทต่อหุ้น ราคาเป้าหมาย 36.00 บาทต่อหุ้น
  • เรามีมุมมองเป็นบวก แนวโน้มผลประกอบการ 1Q65 ที่แข็งแกร่ง จากการฟื้นตัวของธุรกิจการกลั่น และธุรกิจ E&P จากค่าการกลั่น และราคาน้ำมันดิบที่ปรับเพิ่ม เพียงพอชดเชยกำไรจากธุรกิจไฟฟ้าที่อ่อนแอตามฤดูกาล และกำไรจากธุรกิจตลาดที่ยังมีปัจจัยจำกัดการฟื้นตัวจากมาตรการของภาครัฐฯ ในการควบคุมราคาน้ำมันขายปลีกหน้าสถานีบริการ เราคาดว่าปี 2565 จะเป็นปีที่ธุรกิจการกลั่นของ BCP โดยเด่นจากผลของการปรับปรุงประสิทธิภาพการกลั่นภายใต้โครงการ 3E ที่แล้วเสร็จตั้งแต่ต้นปี 2564 ภายใต้ค่าการกลั่น S-GRM ที่อยู่ในระดับสูง จะยิ่งทำให้ BCP มีความสามรถในการใช้อัตราการกลั่นที่เต็มประสิทธิภาพ ทำให้เรายังคงแนะนำ “ซื้อ” ราคาเป้าหมาย 36 บาท

ความเสี่ยง

(1) OSP: ต้นทุนวัตถุดิบปรับสูงขึ้น และการปรับตัวเพิ่มขึ้นของภาษีเครื่องดื่ม

(2) SPRC: ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบและค่าการกลั่น

(3) BCP: ความผันผวนของราคาน้ำมันดิบและค่าการกลั่น ความไม่แน่นอนของนโยบายภาครัฐฯ ในการควบคุมราคาขายปลีกน้ำมันในประเทศ

 

- Advertisement -