Our View? “เบาบาง..”
คาดตลาดวันนี้ “Sideways” มองแนวรับที่บริเวณ 1,620 / 1,614 และแนวต้านที่บริเวณ 1,630 / 1,635 เรามองตลาดจะแกว่งตัวออกด้านข้างเพื่อรอดูท่าทีของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (FED) กล่าวปาฐกถาว่าด้วยนโยบายการเงินและการคลังที่สถาบันบรู้กกิงส์ เพื่อประเมินแนวโน้มการปรับนโยบายทางการเงินของ FED ในระยะถัดไป หลังจากเจ้าหน้าที่ของ FED หลายท่านยังคงสนับสนุนให้ FED เดินหน้าขึ้นอัตราดอกเบี้ยต่อเนื่องเพื่อสกัดการเร่งตัวขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ อย่างไรก็ดี เราเชื่อว่า FED จะเริ่มส่งสัญญาณถึงการทยอยชะลอการเร่งอัตราดอกเบี้ยลง โดยเรายังคงมุมมองว่า FED จะปรับขึ้นดอกเบี้ยตั้งแต่ เดือน ธ.ค. นี้ที่ระดับ 0.50% สู่ระดับ 4.25-4.50% และจะขึ้นอีก 2 ครั้งในปี’66 อีกที่ระดับ 0.50% และ 0.25% ตามลำดับ ทำให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายสหรัฐปรับตัวขึ้นสู่ระดับ 5.00-5.25% สะท้อนอัตราดอกเบี้ยสหรัฐในปัจจุบัน เริ่มเข้าใกล้จุดสูงสุดแล้ว
ในส่วนของการประท้วงเพื่อต่อต้านมาตรการควบคุม COVID-19 ของทางการจีน เริ่มมีสัญญาณที่ดีขึ้น โดยทางการจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุม COVID-19 มากขึ้น อาทิ ประกาศยกเลิกการตั้งสิ่งกีดขวางทางเข้าอพาร์ทเมนท์, งดการปูพรมตรวจเชื้อ COVID−19 ครั้งใหญ่ และเปิดตลาดสดและอนุญาตให้ภาคธุรกิจกลับมาเปิดทำการในสัปดาห์นี้ คาดเป็นการผ่อนคลายมาตรการควบคุม COVID-19 และเป็นสัญญาณถึงแนวโน้มที่จีนจะสามารถเริ่มเปิดประเทศในระยะแรกได้ในช่วง 2H′66 มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางตลาดในภูมิภาคได้บ้าง
ทางด้านสัญญาน้ำมันดิบล่วงหน้า WTI. ส่งมอบเดือน ม.ค. รีบาวด์ขึ้นปิดที่ระดับ 78.20 ดอลลาร์/บาร์เรล +0.96 ดอลลาร์ (+1.24%) ได้แรงหนุนจากการที่ทางการจีนเริ่มผ่อนคลายมาตรการควบคุม COVID−19 คาดจะหนุน อุปสงค์น้ำมันฟื้นตัว อย่างไรก็ตาม แนะนำติดตามการประชุม OPEC+ ในวันที่ 4 ธ.ค. เราคาดว่า OPEC+ จะยังคงมติ การปรับลดกำลังการผลิตที่ระดับ 2 ล้านบาร์เรล/วัน ต่อไป เพื่อรักษาระดับของราคาน้ำมันดิบโลก ทั้งนี้เราคาดว่าราคาน้ำมันจะแกว่งตัวอยู่ที่ระดับราว 75-90 ดอลลาร์/บาร์เรล
สําหรับปัจจัยในประเทศเรามีมุมองเชิงลบต่อการที่เมื่อวานนี้ ครม. หลักการร่างพระราชกฤษฎีกาการจัดเก็บภาษีธุรกิจเฉพาะจากการขายหลักทรัพย์ในตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งจะต้องผ่านขั้นตอนจากคณะกรรมการกฤษฎีกาต่อไป โดยจะกลับไปเก็บภาษีที่ระดับ 0.11% โดยคาดในปี’ 66 จะเริ่มเก็บที่ระดับ 0.055% และจะเริ่มกลับมาเก็บที่ระดับ 0.1% ในปีต่อไป มองเป็นปัจจัยลบส่งผลให้ปริมาณการซื้อขายของตลาดเบาบางลง และลดความสามารถในการระดมทุนของภาคธุรกิจไทย ส่งผลต่อแนวโน้มเศรษฐกิจไทยในระยะยาวได้ เป็นจิตวิทยาเชิงลบกดดันทิศทางตลาดหุ้นไทย โดยเฉพาะหุ้นขนาดกลาง-เล็ก และหุ้นในกลุ่มโบรคเกอร์ อย่างไรก็ดี เรามีมุมมองเชิงบวกต่อการที่ ครม. อนุมัติวงเงิน 6.25 พันล้านบาท สำหรับเยียวยาผู้ได้รับผลกระทบจากน้ำท่วมกว่า 1 ล้านครัวเรือน เป็นปัจจัยบวกต่อหุ้นในกลุ่มวัสดุก่อสร้าง (HMPRO, GLOBAL และ DOHOME) รวมทั้งคาดเป็นแรงหนุนต่อหุ้นในกลุ่มค้าปลีก (CPALL, CRC, MAKRO และ BJC) ได้ต่อ โดยเรายังคาดว่า ครม. คาดอาจมีการออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจ ในช่วงปลายปีต่อได้ รวมทั้งเรายังชอบหุ้นในกลุ่มโฆษณา (PLANB และ VGI) ที่คาดผลประกอบการผ่านจุดต่ำสุดไป แล้วและฟื้นตัวขึ้นโดดเด่นตั้งแต่ช่วง 3Q′65 คาดจะหนุนทิศทางราคาฟื้นตัวกลับขึ้นได้ต่อ และหุ้นในกลุ่มบริการสถานี น้ำมัน (BCP, OR และ PTG) คาดจะสามารถฟื้นตัวกลับขึ้นได้อีกครั้ง ตามการเข้าสู่ช่วงวันหยุดในเทศกาลปีใหม่ หนุนการเดินทางมากขึ้น เป็นจิตวิทยาเชิงบวกต่อทิศทางหุ้นในกลุ่มดังกล่าว
ขณะที่วันนี้แนะนำติดตามการประชุม กนง. ของไทย คาดคณะกรรมการจะปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยอีกครั้งที่ระดับ 0.25% ขึ้นสู่ระดับ 1.25% รวมทั้งต้องติดตามท่าทีของ กนง. ที่มีต่อทิศทางเศรษฐกิจไทยในช่วงปีหน้า มองเป็นจิตวิทยาเชิงบวกหนุนทิศทางหุ้นในกลุ่มธนาคาร (KBANK, BBL และ SCB) ปรับตัวขึ้นได้ต่อ
ธีมการลงทุน “Selective Play”
หุ้นแนะนำวันนี้ “GLOBAL”
กลยุทธ์ แนวรับ 19.50 / 19.30 Target 20.00 / 21.30 Stop <19.00