บล.ฟินันเซีย ไซรัส:
THAI FOODS GROUP (TFG TB)
ลุ้นพลิกมีกำไร 1Q24 เร็วสุดในกลุ่ม
- คาด 4Q23 จะขาดทุนมากขึ้น เป็นจุดต่ำสุดในปี 2023
- มีโอกาสที่ 1Q24 จะพลิกมีกำไรได้เร็วกว่ากลุ่มหมู หลังหมูเวียดนามพื้นตัวดี และลุ้นหมูไทยพลิกมีกำไร หากราคายืนได้ดีในช่วงตรุษจีนเป็นต้นไป
- คงประมาณการกำไรและเป้า แต่เริ่มเห็น Upside ต่อการถูก Re-rate valuation
คาด 4Q23 จะขาดทุนมากขึ้น เป็นจุดต่ำสุดของปี 2023
คาดุ 4Q23 จะมีผลขาดทุนสุทธิอยู่ที่ -522 ลบ. แย่ลงจาก -446 ลบ. ใน 3Q23 ซึ่งจะเป็นจุดต่ำสุดของปี 2023 เนื่องจากราคาเนื้อสัตว์ที่ยังปรับลงทั้งราคาหมูไทย -4.2% q-q. -38.5% y-y และหมูเวียดนาม -17.4% q-q, -11% y-y ซึ่งเป็นระดับที่ต่ำกว่าต้นทุนการเลี้ยง แม้คาดธุรกิจ Retail shop จะยังเติบโตและมีกำไรได้ แต่ยังไม่เพียงพอที่จะหักล้างผลขาดทุนของธุรกิจหมูได้ทั้งหมด ขณะที่คาดธุรกิจไก่จะอ่อนตัวลง q-q เพราะเป็น low season ของธุรกิจ จึงคาดรายได้รวม 4Q23 อาจอ่อนตัวลง q-q เล็กน้อย และคาดอัตรากำไรขั้นต้นยังอยู่ในระดับต่ำเพียง 4-5% ยังไม่สามารถครอบคลุม SG&A to sales ได้
มีโอกาสที่ 1Q24 อาจพลิกมีกำไรได้เร็วสุดในกลุ่มเนื้อสัตว์
ในบรรดากลุ่มหมู เราเริ่มเห็นสัญญาณของ TFG ว่ามีโอกาสมากสุดที่ 1Q24 จะพลิกมีกำไรได้เร็วกว่ากลุ่ม เนื่องจากมีธุรกิจหมูอยู่ในไทยและเวียดนามที่แนวโน้มราคากำลังอยู่ในช่วงของการฟื้นตัว จากสถานการณ์หมูเถื่อนที่คลี่คลาย ส่งผลให้ราคาหมูไทยเริ่มขยับขึ้นสู่ระดับ 70 บาท/กก. +12% q-q แต่ยังต่ำกว่าปีก่อน -17% y-y บริษัทยังให้มุมมองเชิงบวกไปในทิศทางเดียวกับ CPF และ BTG โดยมองราคาหมูจะปรับขึ้นได้ต่อเนื่องในช่วงเทศกาลตรุษจีน และจาก Supply ที่ยังไม่ฟื้นกลับสู่ระดับก่อน ASF ได้เร็ว โดยคาดปริมาณหมูจะเพิ่มขึ้นใกล้เคียง 20 ล้านตัวอีกครั้งได้ใน 2H24 จากสิ้นปี 2023 ที่ 18 ล้านตัว ขณะที่ราคาหมูเวียดนามล่าสุดขยับขึ้นสู่ระดับ 5-5.2 หมื่นดอง/กก. +6-10% q-q และเป็นระดับที่มีกำไรแล้ว
ปรับลดผลการดำเนินงานปี 2023 แต่ยังคงประมาณการกำไรปี 2024
จาก 4Q23 ที่อาจขาดทุนมากกว่าคาด เราได้ปรับลดผลการดำเนินงานปี 2023 เป็นขาดทุนสุทธิมากขึ้นที่ -473 ลบ. แต่ยังคาดมีกำไรปกติราว 101 ลบ. ลดลงจาก 5.3 พันลบ.ในปี 2022 อย่างไรก็ตาม เรายังคงประมาณการกำไรสุทธิปี 2024 ไว้ตามเดิมที่ 2 พันลบ. ทั้งนี้เรายังไม่เห็น Downside ต่อประมาณการของเรา เนื่องจาก TFG มีธุรกิจในต่างประเทศที่เวียดนามเพียงประเทศเดียว และมีการฟื้นตัวของราคาเนื้อสัตว์ที่ดี
เริ่มเห็น Upside ต่อการถูก Re-rate valuation ในระยะถัดไป
เรายังคงราคาเป้าหมายสิ้นปี 2024 ที่ 4 บาท ตามเดิม โดยอิง PE 12x (-0.5 SD) และยังคงแนะนำถือ หรือ ซื้อเก็งกำไร ตามการฟื้นตัวของราคาเนื้อสัตว์ อย่างไรก็ตาม เราเริ่มเห็น Upside ต่อการ Re-rate valuation หากผลการดำเนินงาน 1Q24 สามารถฟื้นตัวพลิกเป็นกำไรได้เร็วกว่ากลุ่ม กอปรกับปัจจัยเสี่ยงของธุรกิจในต่างประเทศมีน้อยกว่าบริษัทอื่นในกลุ่มเนื้อสัตว์ ขณะที่ราคาหุ้นปัจจุบันเทรดที่ 2024E PE 11x ต่ำกว่า CPF และ BTG ที่ 25x และ 21x ตามลำดับ
Investment thesis
TFG ถือเป็นผู้ประกอบการ 3 อันดับแรกในการผลิตเนื้อไก่และสุกรมีชีวิตรายใหญ่ของไทย โดยบริษัทมีกำลังการผลิตไก่ราว 500,000 ตัวต่อวัน และมีปริมาณสุกรมากกว่า 100,000 ตัวต่อเดือน
เรามีมุมมองเป็นบวกมากขึ้นต่อแนวโน้มการเติบโตในปี 2024 คาดหวังผลประกอบการกลับมา Turnaround เป็นกำไรอีกครั้ง จากการฟื้นตัวของราคาเนื้อสัตว์ โดยเฉพาะราคาหมูในไทยที่ล่าสุดเริ่มเห็นการฟื้นตัวเข้าใกล้ต้นทุนการเลี้ยงอีกครั้ง นอกจากปัญหาหมูเถื่อนคลีคลายแล้ว ยังได้อานิสงส์จากต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับลงทั้งข้าวโพดและกากถั่วเหลือง หลังปริมาณผลผลิตสูงขึ้น ขณะที่แนวโน้มธุรกิจไก่น่าจะกลับมาดีขึ้น ตามการฟื้นตัวของการส่งออกกอปรกับคาดราคาไก่ในประเทศจะขยับขึ้นไปในทิศทางเกี่ยวกับราคาหมู
Company profile
TFG ก่อตั้งขึ้นในปี 1987 โดยคุณวินัย เตียวสมบูรณ์กิจ ปัจจุบันดำรงตำแหน่งประธานเจ้าหน้าที่บริหาร โดยเริ่มจากฟาร์มเลี้ยงไก่ในลพบุรี บริษัทดำเนินธุรกิจเป็นผู้ผลิตอาหารแบบครบวงจรที่มีความเชี่ยวชาญในการผลิตไก่และสุกร โดยมีฐานธุรกิจทั้งในไทยและเวียดนาม และมีการขยายธุรกิจไปยังปลายน้ำมากขึ้น โดยเข้าสู่ธุรกิจค้าปลีกเปิดร้าน Retail shop โดย 9M23 บริษัทมีสัดส่วนรายได้จากธุรกิจไก่, หมู, Retail shop และอาหารสัตว์ราว 32%, 21%, 29% และ 18% ตามลำดับ
Catalysts
ปัจจัยหนุนการเติบโตในปี 2024 คือ 1) การฟื้นตัวของการบริโภคจากทั้งในประเทศและตามการฟื้นตัวของภาคท่องเที่ยว 2) ราคาเนื้อสัตว์ปรับตัวสูงขึ้น 3) ต้นทุนวัตถุดิบอาหารสัตว์ปรับลดลง และ 4) การขยายสาขาของ Retail shop
Risks to our call
Downside และ Upside risks ต่อราคาเป้าหมายของเราคือ 1) กำลังซื้อฟื้นตัวช้ากว่าหรือเร็วกว่าคาด 2) ราคาเนื้อสัตว์ปรับขึ้นช้ากว่าหรือเร็วกว่าคาด 3) ต้นทุนวัตถุดิบปรับลงช้ากว่าหรือเร็วกว่าคาด และ 4) ค่าเงินบาทแข็งค่าหรืออ่อนค่ามากกว่าคาด