KS Daily View 01.11.2024 >>> ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นทำ All Time High รับผลการเลือกตั้ง นำโดยหุ้นในกลุ่ม Financial และ Industrial ด้านหุ้นไทยร่วงแรงหลังเงินบาทอ่อนหนัก แม้จะมี DELTA ที่ยืนค้ำดัชนีราว 7 จุด คาดว่าตลาดยังปรับฐานต่อ มองกรอบที่ 1,440 – 1,470 แนะนำ KTB, BCH

แนวโน้มตลาดหุ้นในประเทศ:

ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ปรับตัวขึ้นแรงขานรับผลการเลือกตั้งซึ่งพรรครีพับลิกันควบคุมทั้งตำแหน่งประธานาธิบดีและสภาคองเกรส Dow Jones +3.57%, S&P 500 +2.53%, Nasdaq Composite +2.95% และ Russell 2000 +5.84% โดย 3 ดัชนีแรกปรับตัวขึ้นทำจุดสูงสุดใหม่เป็นประวัติการณ์และ S&P 500 ปิดเหนือ 5,900 จุดได้เป็นครั้งแรก แรงหนุนหลักมาจากกลุ่ม Cyclical อย่าง Financial และ Industrial รับนโยบายการลดภาษีและการผ่อนคลายกฎระเบียบ ในขณะที่ Utilities และ Real Estate ปรับตัวลงจากอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ 10 ปี ที่ขึ้นวันเดียว 16 bps สู่ระดับ 4.43%

ตลาดหุ้นไทย ปิดที่ 1,467.42 จุด ปรับตัวลง 14.25 จุด (-0.96%) มีมูลค่าการซื้อขายที่ราว 57,225 ล้านบาท นักลงทุนต่างชาติขายสุทธิ 1,782 ล้านบาท ในขณะที่นักลงทุนสถาบันซื้อสุทธิที่ 78 ล้านบาท ดัชนีแกว่งตัวกรอบแคบตลอดวันและปรับตัวลงแรงในช่วงท้ายตลาด หลังทรัมป์ชนะการเลือกตั้งและพรรครีพับลิกันได้ควบคุมทั้งสภาบนและสภาล่าง ทำให้ค่าเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ปรับตัวสูงขึ้น กดดันตลาดหุ้นในฝั่งเอเชีย ด้านค่าเงินบาทอ่อนค่าแรงจากระดับ 33.5 มาที่ 34.3 บาทต่อดอลลาร์ หุ้นไทยปรับตัวลงเกือบทุกกลุ่มนำโดย Energy, Commerce, ICT, Finance, และ Transport โดยมีเพียงกลุ่ม Electronic ที่ยืนบวกสวนได้แรงโดย DELTA ปรับตัวขึ้นราว 5% ส่งผลบวกต่อดัชนีราว 7 จุด เรามองตลาดอาจยังอยู่ในภาวะปรับฐานต่อ โดยที่วานนี้ค่าเงินบาทเป็นสกุลเงินที่อ่อนค่าเป็นอันดับต้นๆ มองกรอบ SET ที่ 1,440 – 1,470 แนะนำ KTB, BCH

ประเด็นสำคัญที่เป็นกระแสในช่วงนี้และมีผลต่อการลงทุน:

  1. ทรัมป์คว้าชัยเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนที่ 47 หลังชนะในรัฐสมรภูมิสำคัญ โดยเน้นนโยบายด้านเศรษฐกิจ การตรวจคนเข้าเมือง และการค้าระหว่างประเทศ ท่ามกลางความกังวลเรื่องเงินเฟ้อและผู้อพยพ นับเป็นการคัมแบ็คทางการเมืองครั้งประวัติศาสตร์ แม้จะเผชิญคดีความและความพยายามลอบสังหาร
  • Bloomberg รายงานไทยเตรียมออกมาตรการจูงใจดึงบริษัทต่างชาติย้ายฐานการผลิตมาไทยหลังทรัมป์ชนะเลือกตั้ง โดยรมว.พาณิชย์มองว่าชัยชนะของทรัมป์จะเป็นประโยชน์ต่อไทย เนื่องจากสงครามการค้าสหรัฐ-จีนจะรุนแรงขึ้น ทำให้ทั้งสองประเทศจะเพิ่มการลงทุนในไทยซึ่งเป็นประเทศที่เป็นกลางและเป็นมิตรกับทุกฝ่าย โดยบริษัทเทคโนโลยีอย่าง Seagate และ Western Digital เตรียมเพิ่มการลงทุน ขณะที่ HP สนใจย้ายฐานการผลิตมาไทย ส่งผลให้การลงทุนโดยตรงจากต่างประเทศในปีนี้อาจสูงถึง 1 ล้านล้านบาท
  • Agoda คาดการณ์ว่านักท่องเที่ยวต่างชาติที่เดินทางมาไทยในปี 2568 อาจทำสถิติสูงสุดใหม่ทะลุ 39 ล้านคน (สถิติเดิมปี 2562) เนื่องจากมาตรการยกเว้นวีซ่าและความสามารถในการรองรับเที่ยวบินที่เพิ่มขึ้น โดยปีนี้มีนักท่องเที่ยวแล้ว 29 ล้านคน คาดว่าจะถึงเป้า 36.7 ล้านคน โดยจีนเป็นตลาดใหญ่สุดที่ 6 ล้านคน อย่างไรก็ตาม CEO ของ Agoda แสดงความกังวลเกี่ยวกับระบบอนุญาตเดินทางอิเล็กทรอนิกส์ล่วงหน้าที่ไทยกำลังพิจารณา
  • เงินเฟ้อไทยเดือนตุลาคม 2567 เพิ่มขึ้น 0.83% จากปีก่อน จากราคาอาหารโดยเฉพาะผักผลไม้ น้ำมันดีเซล และค่าไฟฟ้า ส่งผลให้เงินเฟ้อเฉลี่ย 10 เดือนอยู่ที่ 0.26% โดยกระทรวงพาณิชย์คาดว่าเงินเฟ้อไตรมาส 4 จะขยายตัวสูงสุด 1.12% แต่ยังคงเป้าทั้งปีที่ 0.5% เนื่องจากราคาน้ำมันดิบโลกที่ต่ำกว่าปีก่อน และผลกระทบจากอุทกภัยที่สิ้นสุดลง
  • หอการค้าไทยเผยผลสำรวจพบว่ามาตรการแจกเงิน 10,000 บาทให้ผู้ถือบัตรสวัสดิการแห่งรัฐยังไม่เพียงพอต่อการกระตุ้นเศรษฐกิจ จึงเสนอให้รัฐออกมาตรการเพิ่มเติม เช่น Easy e-Receipt วงเงิน 30,000-50,000 บาท และโครงการคนละครึ่งในไตรมาส 1/2568 วงเงิน 50,000 ล้านบาท เพื่อกระตุ้นเม็ดเงินหมุนเวียน 100,000 ล้านบาท คาดว่าหากมีมาตรการที่ชัดเจน GDP ปี 2568 มีโอกาสโต 3.0-3.5% โดยเศรษฐกิจจะเริ่มฟื้นตัวชัดเจนในปลายไตรมาส 1 ถึงต้นไตรมาส 2 ปี 2568

หุ้นแนะนำวันนี้ Top pick:

  • KTB: ราคาพื้นฐาน 23.00

เรามีมุมมองเชิงบวกต่อ KTB จากโอกาสในการบริหารจัดการเงินทุน เช่น การเพิ่มอัตราการจ่ายเงินปันผลในอนาคต โดยผลประกอบการไตรมาส 3/2567 แสดงให้เห็นถึงคุณภาพสินทรัพย์ที่ดี ทั้งในด้านการควบคุม NPL และ Stage 2 รวมถึงมีการตั้งสำรองที่รัดกุม โดยมีระดับสำรองสูงเป็นอันดับสองในกลุ่มธนาคารขนาดใหญ่ นอกจากนี้ เราคาดว่า KTB จะมีโอกาสเติบโตด้านสินเชื่อที่ดีในปี 2568 จากการกระตุ้นเศรษฐกิจและการลงทุนของภาครัฐ อีกทั้งกลุ่มธนาคารอาจได้รับปัจจัยบวกจากการที่ทรัมป์ชนะการเลือกตั้งสหรัฐฯ ซึ่งอาจส่งผลให้ Fed ชะลอการลดอัตราดอกเบี้ยออกไปจากที่คาดการณ์ไว้ในช่วงแรก

  • BCH: ราคาพื้นฐาน 20.30

เรามีมุมมองเชิงบวกมากต่อแนวโน้มการเจรจาระหว่างคณะกรรมการประกันสังคมกับโรงพยาบาลเอกชนที่รับสิทธิประกันสังคม โดยสำนักงานประกันสังคม (SSO) ได้ขอข้อมูลต้นทุนเพิ่มเติมจากโรงพยาบาล ซึ่งคาดว่าจะมีการปรับการจ่ายค่ารักษาโรคที่มีต้นทุนสูงแบบการันตีรายเดือนในปี 2568 ที่อัตรา 12,000 บาทต่อ RW ช่วยลดความเสี่ยงด้านรายได้ประกันสังคมของ BCH และจากการให้สัมภาษณ์ของผู้บริหาร คาดว่ากลุ่มผู้ป่วยคูเวตจะกลับมาใช้บริการในช่วงต้นปี 2568 โดยคาดว่าสัดส่วนรายได้จากผู้ป่วยต่างชาติจะเพิ่มขึ้นเป็น 20% ของรายได้รวม จากเดิม 14% ใน 2Q67 ซึ่งการกลับมาของผู้ป่วยคูเวตนี้น่าจะช่วยให้อัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของ BCH ปรับตัวดีขึ้นจากปีนี้

รายงานตัวเลขเศรษฐกิจ

  • วันพฤหัสฯ ติดตามตัวเลขส่งออกของจีน (CN Export) เดือน ต.ค. ตลาดคาดการณ์ที่ 4.5% YoY เร่งตัวขึ้นจากเดือนที่ผ่านมาที่ 2.4% YoY และ ตัวเลขนำเข้าของจีน (CN Import) ตลาดคาดการณ์ที่ -1.5% YoY ชะลอตัวจากเดือนที่ผ่านมาที่ 0.3% YoY ต่อด้วยดัชนียอดค้าปลีกของฝั่งยุโรป (EU Retail sales) เดือน ก.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 1.3% YoY เร่งตัวขึ้นจากเดือนก่อนหน้าที่ 0.8% YoY และปิดท้ายด้วยจำนวนคนที่ยื่นขอรับสวัสดิการว่างงานครั้งแรกของสหรัฐ (US Initial Jobless Claims) ในสัปดาห์ที่ผ่านมา ตลาดคาดการณ์ที่ 2.23 แสนตำแหน่ง เทียบกับสัปดาห์ก่อนหน้าที่ 2.16 แสนตำแหน่ง และช่วงข้ามคืนติดตามผลการประชุม FOMC โดยตลาดคาดจะปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 25 bps
  • วันศุกร์ ติดตามดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภครัฐจากมหาวิทยาลัยมิชิแกนครั้งแรก (Michigan Consumer Sentiment Prelim) เดือน พ.ย. ตลาดคาดการณ์ที่ 71.0 เทียบกับเดือนก่อนหน้าที่ 70.5 จุด
- Advertisement -