บล.กสิกรไทย:
กลุ่มอิเล็กทรอนิกส์ ผลกระทบจากภาษีตอบโต้
- เมื่อวันที่ 2 เม.ย. ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐฯ ได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้าแบบครอบคลุมในอัตรา 10% สำหรับสินค้าทั้งหมด โดยมีอัตราที่สูงกว่าสำหรับบางประเทศภายใต้กรอบภาษีแบบตอบโต้ (Reciprocal Tariff) แต่หนึ่งสัปดาห์ต่อมา ในวันที่ 9 เม.ย. สหรัฐฯ ได้ประกาศระงับการเก็บภาษีในอัตราที่สูงขึ้นชั่วคราวเป็นเวลา 90 วันสำหรับประเทศส่วนใหญ่ แต่ในขณะเดียวกันก็ได้ปรับขึ้นภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเป็น 125% แม้ว่าในขณะนี้สินค้ากลุ่มเซมิคอนดักเตอร์จะได้รับการยกเว้น แต่เรามองว่าการยกเว้นนี้อาจถูกเพิกถอนในอนาคตหากสถานการณ์ทวีความรุนแรงขึ้น
- เพื่อตอบโต้ จีนได้ประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากสหรัฐฯ ทั้งหมดในอัตรา 34% มีผลตั้งแต่วันที่ 10 เมษายน พร้อมกับจำกัดการส่งออกแร่หายากที่สำคัญ เช่น สแกนเดียม และดิสโพรเซียม ประเทศอื่น ๆ เช่น แคนาดา และเม็กซิโก ก็ได้ออกมาตรการตอบโต้เช่นกัน ขณะที่ประเทศในเอเชียบางแห่งมีแนวโน้มให้ความสำคัญกับการเจรจา เราคาดว่าการตอบโต้ระหว่างสหรัฐฯ และจีนจะดำเนินต่อไปในช่วงหลายเดือนข้างหน้า
- ผลกระทบเชิงลบต่อกลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของไทย สหรัฐฯ เป็นตลาดส่งออกชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ที่ใหญ่ที่สุดของไทย คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 38% ของการส่งออกทั้งหมด ภาคส่วนนี้เผชิญกับแรงกดดันหลายประการ ได้แก่
1) ความต้องการจากสหรัฐฯ ที่อ่อนตัวลงจากราคาปลายทางที่สูงขึ้นและกำลังซื้อที่ลดลง
2) ความไม่แน่นอนหลังจากช่วงหยุดภาษี 90 วัน
3) ภาษีนำเข้า 25% ของสหรัฐฯ สำหรับรถยนต์ ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อยอดขายรถยนต์ทั่วโลกและกระทบผู้ผลิตชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ของไทยที่มีการพึ่งพาภาคยานยนต์ในระดับ 20–70%
4) ข้อจำกัดในการส่งออกแร่หายากของจีนอาจทำให้เกิดปัญหาการขาดแคลนชิ้นส่วนในระยะสั้น เราคาดว่าการสะสมสินค้าคงคลังจะเกิดขึ้นในช่วง 3 เดือนข้างหน้า และผลกระทบของภาษีตอบโต้จะเห็นชัดเจนมากขึ้นในช่วงครึ่งหลังของปี 2568
- ปรับลดประมาณการกำไรของภาคส่วนปี 2568–69 ลง 9% เราได้ปรับลดประมาณการกำไรขอกลุ่ม สำหรับปี 2568–69 ลง 9% โดยอิงจากสมมติฐานที่ว่าภาษีนำเข้าสินค้าจากไทยของสหรัฐฯ จะอยู่ที่ระดับฐาน 10% (ลดลงจากเดิมที่ 36%) เราเชื่อว่าภาษีในระดับนี้อาจคงอยู่ต่อเนื่องหลังจากหมดช่วงพัก 90 วัน หากมีเจรจาระหว่างรัฐบาลทำได้สำเร็จลุล่วงด้วยดี นอกจากนี้ เรายังได้ปรับลดประมาณการรายได้ลงเฉลี่ย 3% สะท้อนความต้องการที่ลดลงจากฝั่งสหรัฐฯ รวมถึงได้ปรับลดประมาณการอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ของภาคส่วนลง เนื่องจากคาดว่าลูกค้าจะไม่สามารถผลักภาระต้นทุนที่สูงขึ้นไปยังผู้บริโภคปลายทางได้ทั้งหมด และมีแนวโน้มจะขอลดราคาจากผู้ผลิต
- คงมุมมองเป็นกลาง คงมุมมองเป็นกลางต่อกลุ่มธุรกิจ เนื่องจากแนวโน้มกำไรในช่วงครึ่งแรกของปี 2568 ยังอยู่ในระดับต่ำท่ามกลางความไม่แน่นอนที่เพิ่มขึ้น และความท้าทายเฉพาะตัวของแต่ละบริษัทฯ ที่จำกัดการเติบโต เราได้ปรับลดราคาเป้าหมายเพื่อสะท้อนการปรับประมาณการกำไรและการลดลงของปรับลดการประเมินมูลค่า ดังนี้ DELTA เหลือ 56.00 บาท, HANA เหลือ 15.50 บาท, KCE เหลือ 16.00 บาท และ SVI เหลือ 7.50 บาท