บล.คันทรี่ กรุ๊ป:

SHR: คาดกำไรฟื้นปลายปี 2022

เราเชื่อว่าพอร์ตของ SHR มีข้อได้เปรียบจากผลการดำเนินงานของกิจการในยุโรปและต่างประเทศที่ฟื้นตัวขึ้นอย่างแข็งแกร่ง เพราะคิดเป็น 87% ของพอร์ตกิจการโรงแรมทั้งหมดของบริษัท ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในสหราชอาณาจักร (UK) มัลดีฟส์  ฟิจิ และมอริเชียส

  • การฟื้นตัวของอุตสาหกรรมการท่องเที่ยวใน UK และมัลดีฟส์ หลังมีการผ่อนปรนมาตรการ COVID-19 หนุนให้ อัตราการเข้าพักช่วง 3Q21 เพิ่มขึ้นเป็น 68% ใน UK และ 57% ในมัลดีฟส์
  • แต่ได้ปรับลดประมารการกำไรปี 2021 ลงจากขาดทุนสุทธิ 464 ล้านบาท เป็นขาดทุนสุทธิ 1.4 พันล้านบาท เพื่อสะท้อนค่าเสื่อมที่สูงขึ้น
  • คาดกำไรจะโตต่อเนื่องต้ังแต่ 4Q21 เป็นต้นไป และมองว่าจะฟื้นตัวอย่างค่อยเป็นค่อยไปตลอดทั้งปี 2022 จาก 1) ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งใน UK และมัลดีฟส์ 2) ฟิจิกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเท่ียวต่างชาติตั้งแต่วันท่ี 1 ธ.ค. 2021 และ 3) การคลายล็อกดาวน์ในไทย โดยมองว่า EBITDA ใน 3Q21 ที่พลิกเป็นบวกได้คร้ังแรกในรอบ 6 ไตรมาส จะยิ่งหนุนให้การดำเนินงานฟื้นตัวได้ตั้งแต่ 4Q21 เป็นต้นไป

เพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จากถือ ด้วยมูลค่าพื้นฐานที่ 3.6 บาท (+16% จากเป้าหมายเดิม) อิง 0.8x PBV’22E หรือสูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนเกิด COVID-19 อยู่เล็กน้อย

ปรับลดประมาณการกำไรปี 2021-23E ลง

เราได้ปรับลดประมาณการกำไรปี 2021 ลง จากขาดทุนสุทธิ 464 ล้านบาท เป็นขาดทุนสุทธิ 1.4 พันล้านบาท ทั้งยังปรับลดกำไรปี 2022-23 ลง 61% และ 8% ตามลำดับ โดยอิงจากสมมติฐานต่อไปนี้

(1) ปรับลดสมมติฐานอัตรากำไรขั้นต้น (GPM) ปี 2021-22 ลงจาก 34.3% และ 43.7% เป็น 20.0% และ 41.9% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนถึงต้นทุนการขาย (COGS) ที่ปรับเพิ่มเร็วกว่าคาด จากค่าเสื่อมที่สูงขึ้น

(2) ปรับเพิ่มอัตราส่วนค่าใช้จ่ายการขายและบริหาร (SG&A) ต่อยอดขายสำหรับปี 2021-23 ขึ้นจาก 42.5%/33.5%/33.1% เป็น 43.8%/34.3%/33.6% ตามลำดับ เพื่อสะท้อนถึงโครงสร้างต้นทุนใหม่หลังปรับตัวให้เข้ากับสถานการณ์ COVID-19

นอกจากนี้ยังมีการปรับเพิ่มสมมติฐานอัตราการเติบโตของยอดขายปี 2021-23 ขึ้น 27%/36%/51% ตามลำดับ เพื่อให้สอดคล้องกับการขยายกิจการโรงแรม หลังจากเข้าถือครองสิทธิความเป็นเจ้าทั้งหมดของกลุ่มโรงแรมใน UK

อย่างไรก็ดี เราเล็งเห็นถึงศักยภาพของการเติบโตในช่วง 3 ปีข้างหน้า ด้วยแรงหนุนจาก 1) ผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งใน UK และมัลดีฟส์ 2) ฟิจิกลับมาเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 ธ.ค. 2021 และ 3) การคลายล็อกดาวน์ในไทย เพิ่มคำแนะนำเป็น “ซื้อ” จากถือ ด้วยมูลค่าพื้นฐานที่ 3.6 บาท (+16% จากเป้าหมายเดิม) อิง 0.8x PBV’22E หรือสูงกว่าค่าเฉลี่ยช่วงก่อนเกิด COVID-19 อยู่เล็กน้อย

สรุปผลประกอบการ 3Q21

  • SHR รายงานผลขาดทุนสุทธิใน 3Q21 ที่ 282 ล้านบาท ปรับดีขึ้นจากขาดทุน 600 ล้านบาทใน 3Q20 และ ขาดทุน 571 ล้านบาทใน 2Q21 ด้วยแรงหนุนจากผลการดำเนินงานใน UK และมัลดีฟส์ที่ฟื้นตัวแข็งแกร่ง
  • รายได้ใน 3Q21 อยู่ที่ 1.4 พันล้านบาท (+1,147%YoY, +77%QoQ) หนุนจากภาคการท่องเที่ยวที่ฟื้นตัวแข็งแกร่งใน UK และมัลดีฟส์หลังคลายล็อคดาวน์ ที่ส่งผลให้อัตราการเข้าพักปรับเพิ่มเป็น 68% ใน UK และ 57% ในมัลดีฟส์
  • ส่วนกิจการโรงแรมในไทย ฟิจิ และมอริเชียส ได้รับผลกระทบจากการขยายมาตรการล็อกดาวน์และเคอร์ฟิว
  • EBITDA ใน 3Q21 อยู่ที่ 253 ล้านบาท พลิกเป็นบวกครั้งแรกในรอบ 6 ไตรมาส ด้วยแรงหนุนจากผลการดำเนินงานที่ฟื้นตัวขึ้นใน UK และโครงการ CROSSROADS มัลดีฟส์
  • ผลขาดทุน 9M21 มีระดับสูงกว่าประมาณการทั้งปีของเราอย่างมาก โดยเรากำลังทบทวนคำแนะนำและราคาเป้าหมายอยู่ในขณะนี้

Revenue Breakdown

ธุรกิจ Outrigger Hotels คิดเป็นสัดส่วน 39% ของรายได้ทั้งหมดของ SHR บริษัทดำเนินงานกลุ่มโรงแรม 6 แห่งภายใต้แบรนด์ Outrigger ผ่านสัญญาบริหารจัดการกิจการโรงแรมประกอบด้วยโรงแรม 2 แห่งในไทย ในสาธารณรัฐฟิจิ 2 แห่ง ในมัลดีฟส์ และมอริเชียสประเทศละ 1 แห่ง

ขณะที่ธุรกิจโรงแรมที่บริหารจัดการด้วยตัวเองจะหมายถึงกลุ่มโรงแรมที่บริษัทบริหารและดำเนินการภายใต้แบรนด์ของบริษัท ซึ่งจะรวมถึง พีพี ไอส์แลนด์ วิลเลจ บีช รีสอร์ต และสันติบุรี เกาะสมุย โดยกลุ่มธุรกิจนี้จะคิดเป็น 21% ของรายได้ทั้งหมด

สำหรับโครงการ Crossroads เฟส 1 คือโครงการ 3 แห่ง ที่พัฒนาอยู่ในเอ็มบูดูลากูน มัลดีฟส์ โดยโครงการในเฟส 1 ประกอบไปด้วยโรงแรม 2 แห่ง ได้แก่ โรงแรมทราย ลากูน มัลดีฟส์ คูลิโอ คอลเลคชั่น บาย ฮิลตัน และฮาร์ดร็อคโฮเทล ซึ่งคิดเป็น 40% ของรายได้ทั้งหมด

- Advertisement -