รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน
คาดผลประชุมกนง.สร้างความชัดเจนให้หุ้นกลุ่มการเงิน
ประธานเฟดยืนยันไม่ปรับขึ้นดอกเบี้ยเพียงเพราะความกังวลเงินเฟ้อ เนื่องจากเรามองว่าการดีดตัวของเงินเฟ้อเป็นผลกระทบโดยตรงที่เกิดจากการเปิดเศรษฐกิจของสหรัฐ เราจะไม่ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยก่อนเวลาอันควรเพียงเพราะความกังวลเรื่องเงินเฟ้อเพียงปัจจัยเดียว แต่เราจะรอให้มีหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับปัญหาที่เกิดจากเงินเฟ้อหรือภาวะไร้สมดุลในด้านอื่นๆ ก่อนที่จะตัดสินใจใดๆเกี่ยวกับทิศทางอัตราดอกเบี้ย ซึ่งถ้อยแถลงดังกล่าวช่วยคลายกังวลความเห็นของกรรมการเฟดท่านอื่นที่เคยแสดงออกมาก่อนหน้าและทำให้บรรยากาศลงทุนโดยรวมมีแนวโน้มผันผวนน้อยลง

ปัจจัยบวกและลบจากการประชุมกนง.วันนี้ เราคาดกนง.สิ่งที่จะเกิดวันนี้ เราคาดว่า 1) กนง. จะคงดอกเบี้ยนโยบายเช่นเดิม
2) คาดมีการปรับุมมองการเติบโตทางเศรษฐกิจลง สะท้อนสถานการณ์โควิดระลอกใหม่
3) อาจมีการพิจารณาขยายเวลาลดการนำเงินส่งกองทุนฟื้นฟู (FIDF) 0.23% ซึ่งจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน
4) ตลาดติดตามว่าจะมีการพิจารณาปรับลดเพดานดอกเบี้ยของเงินกู้บางประเภทตามที่นายกรัฐมนตรี (ซึ่งเรามองผลกระทบกลุ่มบัตรเครดิต > จำนำทะเบียน > ธนาคาร) ทั้งนี้โดยรวมแม้จะมีบางปัจจัยที่อาจเป็นลบระยะสั้นต่อสถาบันการเงิน แต่เรามองความชัดเจนที่มากขึ้นหลังประชุมกนง. จะเป็นปัจจัยบวกต่อกลุ่มธนาคาร

RATCH ประกาศเพิ่มทุน 769.23 ล้านหุ้น โดยเสนอขายผู้ถือหุ้นเดิมที่อัตรา 1.885 : 1 เพื่อลงทุนซื้อโรงไฟฟ้าถ่านหินขนาด 2,045 MW ที่อินโดนีเซีย โดยบริษัทจะเข้าถือ 45.515% (หรือ 930 MW) และการลงทุนอื่นๆในอนาคต รวมทั้งการจ่ายชำระหนี้และเป็นเงินทุนหมุนเวียน มองเป็นปัจจัยลบในระยะสั้น เนื่องจาก

1) ในเบื้องต้น เราไม่เห็นความจำเป็นของ RATCH ที่ต้องเพิ่มทุน เนื่องจาก net D/E ratio ที่ต่ำเพียง 0.54 เท่า ณ สิ้น 1Q21 (71% ของหนี้ของบริษัทจะครบกำหนดชำระหลังปี 2025) ซึ่ง RATCH สามารถที่จะกู้เงินได้สูงถึง ซึ่งเราคาดว่า RATCH น่าจะใช้เงินในการซื้อ Bt30-45b 2) การซื้อโครงการที่เป็นโรงไฟฟ้าถ่านหิน ทำให้มีสัดส่วนรายได้จากไฟฟ้าถ่านหินจะเพิ่มขึ้น (ปัจจุบันอยู่ที่ 40%) ซึ่งสวนกระแสการลงทุนในปัจจุบันที่เน้นการลงทุนในพลังงานสะอาด โดยอาจส่งผลให้นักลงทุนสถาบันที่มีกฎเกณฑ์ในเรื่อง ESG ที่เข้มงวด // ทางพื้นฐานเราอยู่ระหว่างทบทวนคำแนะนำและราคาเหมาะสม

สำหรับมุมมองเชิงกลยุทธ์ ราคาหุ้นอาจตอบรับเชิงลบในระยะสั้นและนิ่งรอราคาเพิ่มทุน ซึ่งอาจกระทบนักเก็งกำไรระยะสั้น แต่ไม่กระทบผู้ถือลงทุนระยะยาว

ธีมลงทุนอื่นที่น่าสนใจ
1) กลุ่มพลังงาน ปิโตรฯ PTT, PTTGC, IVL, IRPC
2) อาหารและเกษตร TVO, CPI, TU, CPF
3) ได้ประโยชน์จากเราชนะ TNP และ KK เนื่องจากเป็นร้านค้าธงฟ้า
4) การขายประกันโควิด บวกต่อ THRE, TIP, TQM
5) ปันผลและกองรีทส์ ADVANC, BTSGIF, CPNREIT, AIMIRT, FTREIT, EASTW, WHAUP, TTW, TIP
6) เก็งกำไรกลุ่มดิจิตัลทีวี BEC, WORK, MONO, JKN
7) หุ้นกลุ่มเหล็ก TSTH, GJS, AMC
8) กลุ่มโลจิติกส์ที่มีสัญญาณระยะสั้นเป็นบวก SONIC, NCL
9) หุ้นกลุ่มเรือ TTA, PSL, RCL

ภาพรวมกลยุทธ์ ฟื้นตัว..แต่ระยะสั้นยังผันผวน หาก SET Index ยังไม่สามารถยืนเหนือ 1606 หรือปรับตัวหลุด 1580 จุด จะกระทบกับจิตวิทยาการเก็งกำไรระยะสั้น อย่างไรก็ตาม ในภาพเชิงกลยุทธ์ เรายังมองสื่อสารและกองรีทส์ รวมถึงหุ้นปันผลสูง-ปลอดภัย น่าสนใจ ขณะที่ค่าเงินบาทอ่อนค่ายังเป็นปัจจัยหนุนการเก็งกำไรหุ้นกลุ่มอิเล็กทรอนิกส์
// หุ้นแนะนำวันนี้ เก็งกำไร BDMS*, PM*, CBG*, TQM*
แนวรับ: 1,580-1,590/ แนวต้าน : 1,606-1,620 จุด สัดส่วน : เงินสด 60% : พอร์ตหุ้น 40%

ประเด็นการลงทุน
จ่ออนุมัติขาย ‘ประกันกัญชา’ ‘ – คปภ.อยู่ระหว่างพิจารณาอนุมัติกรมธรรม์ “ประกันภัยกัญชา” 2 บริษัทแรกนำร่อง “กรุงเทพประกันภัย-ทิพยฯ” ชูรูปแบบความคุ้มครอง “ชดเชยค่าเสียหายต้นทุนการผลิต” /ด้าน “ทิพยฯ” ชูคุ้มครอง 2 รูปแบบ เกี่ยวกับการปลูกกัญชา

ครม.เคาะเปิดเกาะ 1 ก.ค. ครม.เห็นชอบเปิด 4 เกาะรับนักท่องเที่ยวต่างชาติ ภูเก็ตยืนยันเริ่ม 1 ก.ค.นี้ ส่วนเกาะสมุย เกาะพะงัน และเกาะเต่า ดีเดย์ 15 ก.ค. ก่อนเปิดประเทศเดือน ต.ค.นี้
เพิ่มวงเงิน “คนละครึ่ง” ปัดฝุ่น “ช้อปดีมีคืน”. เอกชนเล็งเสนอนายกฯ เพิ่มวงเงินโครงการกระตุ้นเศรษฐกิจ “คนละครึ่ง” กับ “ยิ่งใช้ยิ่งได้” พร้อมเสนอให้นำโครงการ “ช้อปดีมีคืน” กลับมาใช้กระตุ้นเศรษฐกิจ

DOD. คว้าใบสกัดเมล็ดกัญชงจาก อย. พร้อมเดินหน้านำเข้าเมล็ดกัญชงปลาย มิ.ย.นี้ จ่อขึ้นทะเบียนอาหารเสริม

TU – พบพนักงานของบริษัทย่อยที่สงขลา (บริษัทไทยแคนนิ่ง) ที่เป็นบริษัทในเครือ ติดโควิด 263 คน จากการตรวจเชิงรุก

ประเด็นติดตาม:
– 23 มิ.ย.: EU Manufacturing PMI เดือน มิ.ย., US Manufacturing PMI เดือน มิ.ย., ประชุม กนง. /
24 มิ.ย.: BOE Meeting, US GDP 1Q21, US Initial Jobless Claims /
25 มิ.ย.: US PCE Price Index เดือน พ.ค.

(* หมายถึง หุ้นทางกลยุทธ์ ซึ่งอาจมีคำแนะนำต่างกับพื้นฐาน หรือที่ไม่ ได้อยู่ในการวิเคราะห์ของ UOBKH ซึ่งนักลงทุนควรพิจารณาตั้งจุดตัดขาดทุน 3-5% ของราคาที่เข้าซื้อ)

- Advertisement -