บริษัทวายแอลจีบูลเลี่ยนแอนด์ฟิวเจอร์ส : Gold Futures

ทองคำ
  1,751 1,733 1,717
  1,778 1,795 1,812

ข่าวสารสําคัญเพื่อประกอบการลงทุน (เพิ่มเติมช่วงบ่าย)
สรุป ราคาทองคำช่วงเช้าที่ตลาดเอเชียค่อยๆขยับขึ้น โดยแกว่งตัวในกรอบ 1,765.59-1,775.82 ดอลลาร์ต่อออนซ์ มีแรงซื้อ Buy the dip และแรงซื้อทางเทคนิคหลังจากเกิดสัญญาณ Bullish RSI Divergence ในกราฟราคาทองคำราย 1 ชั่วโมง 4 ชั่วโมง และ 1 วัน แม้ว่าดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้นอย่างมากก็ตาม

อย่างไรก็ตาม มีแนวโน้มที่ดอลลาร์อาจเผชิญแรงขายระยะสั้น หลังจากค่าเงินปอนด์เริ่มชะลอการอ่อนค่า หลังสำนักงานสถิติแห่งชาติสหราชอาณาจักร (ONS) เปิดเผยว่า ปัจจุบันความเสี่ยงการกลับมาติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำอีกครั้งในอังกฤษ อยู่ในระดับต่ำมาก โดยผู้ที่กลับมาป่วยโรคโควิด-19 ซ้ำ มีแนวโน้มมีระดับเชื้อไวรัสในร่างกายต่ำกว่า (แต่ยังคงตรวจพบได้) และมีรายงานอาการน้อยลง แม้ว่ายอดผู้ติดเชื้อรายใหม่ในอังกฤษจะยังคงเพิ่มขึ้นมาสูงกว่า 2 หมื่นราย/วัน แต่อัตราการเสียชีวิตอยู่ระดับค่อนข้างต่ำ

นอกจากนี้ รัฐบาลอังกฤษเตรียมพิจารณาแผนระดมฉีดวัคซีนต้านโรคโควิด-19 เพิ่มเติมในช่วงเดือนก.ย.นี้เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน ขณะที่ปัจจุบันอังกฤษฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 โดสแรกให้กับประชาชนวัยผู้ใหญ่เป็นจำนวน 85% ของประชากรทั้งหมด โดย 60% ได้รับวัคซีนครบทั้งสองโดสแล้ว ความสำเร็จของแผนระดมฉีดวัคซีนของอังกฤษ ทำให้นายบอริส จอห์นสัน นายกฯอังกฤษให้คำมั่นว่า จะยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ในวันที่ 19 ก.ค.นี้ ปัจจัยดังกล่าวช่วยพยุงราคาทองคำไว้

ปัจจัยทางเทคนิค
แนวโน้ม Gold Spot:
หลังจากราคาทิ้งตัวลงอาจเห็น การฟื้นตัวขึ้นช่วงสั้นของราคาแต่หากราคาทองคำยังสามารถไม่สามารถยืนเหนือโซน 1,774-1,778 ดอลลาร์ต่อออนซ์ได้ แสดงว่าแรงขายยังคงแข็งแกร่งอาจทำให้เกิดการอ่อนตัวลง โดยประเมินแนวรับบริเวณที่ 1,753-1,751 ดอลลาร์ต่อออนซ์ แต่หากสามารถยืนเหนือโซนแนวรับดังกล่าวได้ก็จะเห็นการดีดตัวขึ้นอีกครั้ง

กลยุทธ์การลงทุน:
การเข้าซื้อขายยังคงเน้นการเก็งกำไรระยะสั้นจากการแกว่งตัว แนะนำเปิดสถานะขายทำกำไรระยะสั้น ในโซน 1,774-1,778 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (ฝั่งขายตัดขาดทุน 1,795 ดอลลาร์ต่อออนซ์) เพื่อรอเข้าซื้อคืนเมื่อราคาอ่อนลงหรือไม่หลุดบริเวณแนวรับ 1,753-1,751 ดอลลาร์ต่อออนซ์

ข่าวสารประกอบการลงทุน
(+) ‘อังกฤษ’ เสี่ยงติดโควิดซ้ำอยู่ระดับต่ำ
สำนักงานสถิติแห่งชาติสหราชอาณาจักร (ONS) เปิดเผยว่า ปัจจุบันความเสี่ยงการกลับมาติดเชื้อโควิด-19 ซ้ำอีกครั้งในอังกฤษ อยู่ในระดับต่ำมาก ONS รายงานโดยอ้างอิงข้อมูลจากผลสำรวจการติดเชื้อไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ (Coronavirus Infection Survey) ระหว่างวันที่ 26 เม.ย. 2563 – 5 มิ.ย. 2564 ซึ่งข้อมูลครอบคลุมหลายพันครัวเรือนที่ยินยอมทดสอบโรคโควิด-19 เป็นประจำ เพื่อตรวจดูว่าพวกเขาติดเชื้อหรือไม่ มีคณะนักวิจัยกำหนดให้ “วันที่ผู้เข้าร่วมเสี่ยงติดเชื้อโควิด-19” เป็นปัจจัยการพิจารณาหลัก เนื่องจากผู้ป่วยโรคโควิด-19 ในปีก่อนจะมีเวลากลับมาติดเชื้อซ้ำมากกว่าผู้ป่วยในช่วงไม่นานมานี้

ขณะเดียวกัน ONS ยังเสริมด้วยว่า ผู้ที่กลับมาป่วยโรคโควิด-19 ซ้ำมีแนวโน้มมีระดับเชื้อไวรัสในร่างกายต่ำกว่า (แต่ยังคงตรวจพบได้) และมีรายงานอาการน้อยลง อาทิ ไอ มีไข้ สูญเสียกลิ่นหรือการรับรส ปวดกล้ามเนื้อ และเมื่อยล้า อังกฤษ รายงานการตรวจพบผู้ป่วยโรคโควิด-19 เพิ่ม 22,868 ราย ในช่วง 24 ชั่วโมง ซึ่งเป็นตัวเลขสูงสุดนับตั้งแต่วันที่ 30 ม.ค. 2564 ทำให้มีผู้ป่วยสะสม 4,755,078 ราย และตรวจพบผู้ป่วยเสียชีวิตเพิ่ม 3 ราย ทำให้มีผู้ป่วยเสียชีวิตรวม 128,103 ราย โดยนับเฉพาะผู้เสียชีวิตภายใน 28 วัน หลังมีผลตรวจโรคเป็นบวกครั้งแรก

(+) อังกฤษเล็งพิจารณาฉีดวัคซีนโควิดกระตุ้นภูมิให้ประชาชนอีกครั้งในเดือนก.ย.
รัฐบาลอังกฤษเตรียมพิจารณาแผนระดมฉีดวัคซีนต้านโรคโควิด-19 เพิ่มเติมในช่วงเดือนก.ย.นี้เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันให้กับประชาชน หลังได้รับคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญด้านวัคซีนว่า ประชาชนกลุ่มผู้สูงอายุและกลุ่มเปราะบางอาจต้องได้รับการฉีดวัคซีนโดสที่สาม

รัฐบาลอังกฤษระบุว่า ขณะนี้ยังไม่ได้มีการตัดสินใจแน่นอนว่า จะมีแผนระดมฉีดวัคซีนครั้งใหม่หรือไม่ แต่เจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญได้แนะนำว่า ควรเตรียมการไว้ล่วงหน้าเพื่อเป็นการป้องกัน คณะกรรมการร่วมว่าด้วยการฉีดวัคซีนและสร้างภูมิคุ้มกันของอังกฤษ (JCVI) ให้คำแนะนำว่า ควรเตรียมแผนระดมฉีดวัคซีนต้านโรคโควิด-19 อีกครั้งในเดือนก.ย.นี้เพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกันของร่างกาย โดยเริ่มจากประชาชนกลุ่มที่มีอายุ 70 ปีขึ้นไป, ผู้อาศัยในบ้านพักคนชรา, และผู้มีภูมิคุ้มกันบกพร่องหรือกลุ่มเปราะบางอื่นๆ

สำนักข่าวรอยเตอร์รายงานว่า อังกฤษฉีดวัคซีนต้านโควิด-19 โดสแรกให้กับประชาชนวัยผู้ใหญ่เป็นจำนวน 85% ของประชากรทั้งหมด โดย 60% ได้รับวัคซีนครบทั้งสองโดสแล้ว ความสำเร็จของแผนระดมฉีดวัคซีนของอังกฤษ ทำให้นายบอริส จอห์นสัน นายกรัฐมนตรีอังกฤษให้คำมั่นว่า จะยกเลิกมาตรการล็อกดาวน์ในวันที่ 19 ก.ค.นี้ แม้ว่าจำนวนผู้ติดเชื้อสายพันธุ์เดลตาจะพุ่งสูงขึ้นก็ตาม

ข้อมูลวิจัยระบุว่า วัคซีนต้านโควิด-19 ที่มีอยู่ในปัจจุบันสามารถสร้างภูมิคุ้มกันได้อย่างน้อย 6 เดือน โดยคาดว่า ในช่วงหลายเดือนข้างหน้านี้ จะมีงานวิจัยเพิ่มเติมที่ศึกษาเรื่องระยะเวลาที่วัคซีนสามารถสร้างภูมิคุ้มกัน รวมถึงประสิทธิภาพของการฉีดวัคซีนเพื่อกระตุ้นภูมิคุ้มกัน

(+) ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้าลบ ขณะจับตา PMI จีนเดือนมิ.ย.
ตลาดหุ้นเอเชียเปิดเช้านี้เคลื่อนไหวในแดนลบ ขณะที่นักลงทุนจับตาการรายงานผลสำรวจความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ของญี่ปุ่น (ทังกัน) ประจำไตรมาส 2/2564 รวมถึงดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนมิ.ย.จากไฉซิน ดัชนี SSE Composite ตลาดหุ้นจีนเปิดวันนี้ที่ 3,600.55 จุด เพิ่มขึ้น 9.35 จุด หรือ +0.26%

ส่วนดัชนี NIKKEI 225 ตลาดหุ้นญี่ปุ่นเปิดวันนี้ที่ 28,832.41 จุด เพิ่มขึ้น 40.88 จุด หรือ +0.14% ธนาคารกลางญี่ปุ่น (BOJ) เปิดเผยผลสำรวจความเชื่อมั่นทางธุรกิจของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่ของญี่ปุ่น (ทังกัน) ประจำไตรมาส 2/2564 ในวันนี้ โดยระบุว่า ดัชนีความเชื่อมั่นของกลุ่มผู้ผลิตรายใหญ่อยู่ที่ +14 เพิ่มขึ้นจากระดับ +5 ในไตรมาส 1/2564 โดยเป็นระดับความเชื่อมั่นที่ปรับตัวเพิ่มขึ้นสูงสุดนับตั้งแต่เดือนธ.ค.2561 ขณะเดียวกันตลาดยังจับตาการรายงานดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ (PMI) ภาคการผลิตเดือนมิ.ย.จากไฉซินในเช้าวันนี้

(-) ดอลลาร์แข็งค่าเหนือระดับ 111 เยน ขานรับข้อมูลจ้างงานเอกชนสหรัฐดีเกินคาด
สกุลเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงแข็งค่าเหนือระดับ 111 เยน หลังจากพุ่งขึ้นแตะระดับสูงสุดในรอบ 15 เดือนที่ราว 111.13 เยน ขานรับการเปิดเผยข้อมูลการจ้างงานภาคเอกชนสหรัฐที่แข็งแกร่งเกินคาด สำนักข่าวเกียวโดรายงานว่า ณ เที่ยงวันนี้ตามเวลาโตเกียว ดอลลาร์เคลื่อนไหวที่ 111.06-111.10 เยน เทียบกับ 111.06-111.16 เยนที่ตลาดนิวยอร์ก และ 110.54-110.55 เยนที่ตลาดโตเกียวเมื่อเวลา 17.00 น. ของเมื่อวานนี้ ยูโรเคลื่อนไหวที่ 1.1850-1.1850 ดอลลาร์ และ 131.59-131.64 เยน เทียบกับ 1.1850-1.1860 ดอลลาร์ และ 131.66-131.76 เยนที่ตลาดนิวยอร์ก และ 1.1900-1.1902 ดอลลาร์ และ 131.55-131.59 เยนที่ตลาดโตเกียวเมื่อช่วงเย็นเมื่อวานนี้

(+/-) ตลาดหุ้นฮ่องกงปิดทำการวันนี้ (1 ก.ค.) เนื่องในวันสถาปนาเขตปกครองพิเศษฮ่องกง

ที่มา : อินโฟเควสท์, กรุงเทพธุรกิจออนไลน์, The Standard และ Efinancethai

- Advertisement -