ทิศทางตลาดหุ้นวันนี้ ( รักพงศ์ ไชยศุภรากุล เลขทะเบียนฯ: 19838)

ปรับลงต่อ
ฝ่ายวิจัยฯ ประเมิน SET Index วันจันทร์ปรับลงต่อ… หลังจากเมื่อวันศุกร์ที่แล้ว ตลาดหุ้นไทยเผชิญแรงขายหนักกว่าที่เราคาด สะท้อนตัวเลขจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ที่ทำจุดสูงสุดใหม่และสูงกว่าตัวเลขผู้ที่หายป่วยค่อนข้างมาก…

ขณะที่ในวันนี้ แรงกดดันจากสถานการณ์ COVID-19 และความไม่แน่นอนของปริมาณวัคซีนฯ ที่จะเข้ามาในประเทศในช่วงไตรมาส 3/2564 น่าจะยังกดดันจิตวิทยาของตลาดหุ้นไทย และส่งผลให้ SET Index อ่อนแอกว่าตลาดหุ้นต่างประเทศต่อไป (อ่านเพิ่มเติมในบทวิเคราะห์กลยุทธ์การลงทุนรายสัปดาห์ เช้าวันนี้)… สำหรับความเสี่ยงทางลงของดัชนีฯ รอบนี้ เรายังคงมองที่ 1,550 จุดเช่นเดิม

ปัจจัยต่างประเทศ – เป็นบวกเล็กน้อย: i) ตลาดหุ้นสหรัฐฯ ยังคงเดินหน้าปรับตัวขึ้น หนุนโดยตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรเดือน มิ.ย. ที่ออกมาแข็งแกร่งมากที่ 8.5 แสนคน (consensus คาดการณ์ 6.8 แสนคน) สะท้อนการฟื้นตัวต่อเนื่องของภาคแรงงานและของเศรษฐกิจสหรัฐฯ ii) ราคาน้ำมันดิบ WTi ทรงตัวในระดับสูงแถว 75 เหรียญฯ/บาร์เรล หลังจากที่ประชุม OPEC+ ยังคงไม่สามารถหาข้อยุติเกี่ยวกับแนวทางการปรับปริมาณการผลิตของกลุ่มฯ ในระยะถัดไป ทั้งนี้ซาอุฯ และสาธารณรัฐอาหรับเอมิเรต์ เป็นสองประเทศที่มีความเห็นต่างในรอบนี้… สำหรับในสัปดาห์นี้ ปัจจัยต่างประเทศที่สำคัญอีกประการ ได้แก่การรายงานผลประชุม ธ.กลางสหรัฐฯ (เฟด) จากครั้ง 16 มิ.ย. ซึ่งจะออกมาในวันที่ 8 ก.ค.

ปัจจัยในประเทศ – เป็นลบ:

i) เมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ทางภาครัฐฯ แถลงว่าปริมาณวัคซีน AstraZeneca ที่จะเข้ามาในช่วงหลายเดือนข้างหน้า น่าจะอยู่ที่ประมาณ 6 ล้านโดส/เดือน (จากที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ที่ 10 ล้านโดส/เดือน) น่าจะเป็นจิตวิทยาเชิงลบในระยะสั้นต่อตลาด

ii) เช้าวันนี้ ศบค. รายงานจำนวนผู้ติดเชื้อ COVID-19 ทรงตัวในระดับสูง 6,166 ราย และเสียชีวิต 50 ราย

หุ้นเด่นวันนี้ ตามปัจจัยพื้นฐาน ( สุโชติ ถิรวรรณรัตน์ เลขทะเบียนฯ: 28668)
เก็งกำไร EPG*, LEO / ย่อสะสม CRC*
EPG* (เป้าพื้นฐาน 15.5 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 11.0 บาท / แนวต้าน 11.5 – 12.0 บาท (Stop loss 10.5 บาท) 2) ประเมินรับ Sentiment บวกจาก i) ค่าเงินบาทอ่อนค่า ii) ตัวเลขการส่งออกรถยนต์ยังเติบโตดี iii) ธุรกิจฉนวนยางในสหรัฐฯรับอานิสงส์เศรษฐกิจสหรัฐฯฟื้นตัวแรง 3) มาตรการคุมเข้มร้านอาหารในขณะนี้ คาดเป็นบวกต่อความต้องการใช้กล่องพลาสติกบรรจุอาหาร 4) Forward PE 21 เท่า (ต่ำกว่าค่าเฉลี่ยในอดีตที่ 22 เท่า)

LEO (เป้าพื้นฐาน 11.3 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 10.0 บาท / แนวต้าน 10.6 – 10.8 บาท หากผ่านได้ประเมินแนวต้านถัดไป 11.3 บาท (Stop loss 9.5 บาท) 2) ประเมิน Earnings momentum จะยังเร่งตัวขึ้นแบบ YoY, QoQ ในอีก 2 ไตรมาสข้างหน้าเป็นอย่างน้อย โดยคาดปริมาณการขนส่งยังเติบโต (พิจารณาได้จาก Shanghai Containerized Freight index ที่ยังทำจุดสูงสุดใหม่ต่อเนื่อง) ขณะที่ 3Q64 จะเริ่มรับรู้รายได้จากการรับงานขนส่งสินค้า E-commerce จากจีน – ไทย (China post) เต็มไตรมาส … มีโอกาสปรับประมาณการฯขึ้น

CRC* (เป้า Consensus 39.5 บาท) 1) ประเมินแนวรับ 32 บาท และ 31.5 บาท ตามลำดับ / แนวต้าน 35 – 36 บาท (Stop loss 31 บาท) … แนะนำ “ซื้อสะสมเมื่อราคาอ่อนตัว” ที่แนวรับ 2) คาดระยะสั้นถูกปัจจัยลบเรื่องการแพร่ระบาดของโควิด-19 ขณะนี้กดดัน Sentiment การลงทุน อย่างไรก็ดีคาดภาครัฐฯจะไม่ใช้มาตรการที่เข้มงวดจนกระทบต่อภาคธุรกิจค้าปลีก 3) Consensus คาดกำไรปี 2565 ฟื้นตัว +73% YoY

หุ้นมีข่าว
(+) KBANK* รับ 1.27 หมื่นล้าน ขายประกันให้เมืองไทยฯ (ข่าวหุ้น) กสิกรไทย (KBANK*) เซ็นขายประกันให้ “เมืองไทยประกันชีวิต” (MTL) ผ่านธนาคารฯ และบริษัทย่อย 5 แห่ง รับค่าตอบแทน 1.27 หมื่นล้านบาท ทยอยบันทึกเป็นเวลา 10 ปี ตามสัญญา หรือเฉลี่ยปีละ 1.27 พันล้านบาท ยังไม่รวมค่าคอมมิชชันและโบนัส เริ่มต้นปี 65 นักวิเคราะห์ ชี้ช่วยดันกำไรของ KBANK* ปีหน้าทะยานมากกว่า 4 หมื่นล้านบาท

(+) รฟม.เปิดขายซองสีม่วงใต้วันนี้ จับตา CK*-STEC*-UNIQ-ITD ชิงเค้ก 7.8 หมื่นล้าน (ข่าวหุ้น) วันนี้จับตา CK*-STEC*-UNIQ-ITD แข่งชิงเค้กโครงการรถไฟฟ้าสายสีม่วงใต้ หลัง “รฟม.” เปิดขายซองประกวดราคาแล้วในวันนี้-7 ต.ค. 64 รวม 6 สัญญา ราคากลาง 7.8 หมื่นล้านบาท
(+) BCPG* ทุ่ม 24 ล้านดอลล์รุกระบบกักเก็บพลังงานต่อยอดธุรกิจโรงไฟฟ้า (ทันหุ้น) BCPG* เผยซื้อหุ้นกู้แปลงสภาพของ VRB วงเงิน 24 ล้านดอลลาร์สหรัฐ รุกธุรกิจระบบกักเก็บพลังงาน หวังต่อยอดธุรกิจโรงไฟฟ้าพลังงานทดแทน ขณะที่มองหาดีล M&A ใหม่ต่อเนื่อง ด้วยงบลงทุน 1.8 หมื่นล้านบาท
(+) THG ปั้นโทเคน ดิจิทัล ยกระดับ ‘เฮลท์แคร์’ ไทย (ฐานเศรษฐกิจ) เปิดยุทธศาสตร์ “ธนบุรี เฮลท์แคร์ กรุ๊ป” เดินหน้า Health Care Transformation ดึงดิจทัล เข้าเสริมแกร่ง เชื่อมโยงระบบ วิเคราะห์ ประเมิน ยกระดับการแพทย์ไทยก่อนต่อยอดสู่ธุรกิจอื่น เล็งเปิดตัว “โทเทคดิจิทัล” หลังศึกษานาน 2 ปี
(+) RBF เฮ! คว้าใบอนุญาตสกัด CBD-THC กัญชง (ข่าวหุ้น) RBF โชว์ข่าวดี! คว้าใบอนุญาต “โรงงานสกัดสาร CBD-THC จากกัญชง” รายแรกในไทยและเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ พร้อมลุยรับคำสั่งซื้อและเจรจาทำ MOU กับลูกค้ากลุ่มธุรกิจอาหารและเครื่องดื่ม-อาหารเสริม-เครื่องสำอางสมุนไพร คาดเริ่มรับรู้รายได้ตั้งแต่ไตรมาส 4/64
(+) PRAPAT พ่นเชื้อดีมานด์ล้น ภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ดันยอด (ทันหุ้น) PRAPAT เปิดภูเก็ตแซนด์บ็อกซ์ดันความต้องการน้ำยาฆ่าเชื้อ-ฉีดพ่นเชื้อในโรงแรมล้น ผู้บริหาร “วีระพงค์ ลือสกุล” ปลื้มลูกค้าป้อนออเดอร์แล้วกว่า 20 ราย เล็งขยายฐานเกาะสมุยรองรับนักท่องเที่ยว ปักหมุดปั๊มรายได้แตะ 900 ล้านบาท โชว์ 3 เดือนกวาดรายได้ 193.49 ล้านบาท ส่งซิกผลงานไตรมาส 3 ฟื้น จับตาโค้งท้ายไฮซีซันหนุนงบพีค
(+ กลุ่มโรงพยาบาล) เราได้สอบถามความคืบหน้าเกี่ยวกับการนำเข้าวัคซีน COVID-19 ยี่ห้อ Moderna สำหรับโรงพยาบาลเอกชนที่ผ่านการสั่งซื้อจากองค์การเภสัชกรรม โดยพบว่า กำหนดราคาขายเท่ากับ 1,650 บาท/เข็ม ทั้งนี้ความต้องการทั้งหมดของสมาคมโรงพยาบาลเอกชนเท่ากับ 9 ล้านโดส แต่ Moderna จะสามารถส่งมอบได้ทั้งหมดเพียง 5 ล้านโดส (โดยจัดสรร 4 ล้านโดสให้กับโรงพยาบาลเอกชน ส่วนอีก 1 ล้านโดสให้กับสภากาชาดไทย) ส่วนกรอบเวลาการส่งมอบกำหนดว่า 3.9 ล้านโดสในช่วง 4Q64 และอีก 1.1 ล้านโดสในช่วง 1Q65 (KGI)

ความเห็นนักวิเคราะห์: เรามองข่าวการนำเข้าวัคซีนของกลุ่มโรงพยาบาลเอกชนเป็นพัฒนาการเชิงบวก หลังรอคอยการอนุมัติของรัฐบาลและให้องค์การเภสัชกรรมเป็นตัวแทนการจัดซื้อ ก่อนที่จะนำเข้ามาจัดสรรให้กับโรงพยาบาลเอกชนต่อไป ขณะที่การส่งมอบที่จะเกิดขึ้นจริงจาก Moderna สะท้อนถึงปริมาณวัคซีนที่ยังต่ำกว่าความต้องการ ทำให้เราคาดว่าความต้องการวัคซีนทางเลือกยังคงแข็งแกร่งในระยะ 1 ปีข้างหน้า โดยมีแรงหนุนจากความต้องการซื้อจากบริษัทเอกชนต่างๆ (ให้กับพนักงาน) และกลุ่มผู้มีรายได้สูง เพื่อป้องกันการเจ็บป่วยที่รุนแรง หากมีการติดเชื้อเกิดขึ้น

ทั้งนี้ ถ้าการนำเข้าวัคซีนของโรงพยาบาลเอกชนเกิดขึ้นสำเร็จ เรามองว่า โรงพยาบาลที่จะได้ประโยชน์ ได้แก่ BCH*, BDMS*, BH* และ CHG* เนื่องจากมีการกระจายตัวของสาขาโรงพยาบาลที่กว้าง (BCH*, BDMS* และ CHG*) และมีกลุ่มลูกค้ารายได้สูง (BH*) เราประมาณการเบื้องต้นว่า กำไรส่วนเพิ่มจากวัคซีน Moderna อาจอยู่ในช่วง 2.2%-3.4% ซึ่งยังไม่มีนัยสำคัญต่อประมาณการกำไรสุทธิในปี 2564 ทั้งนี้ เรายังคงน้ำหนักการลงทุน Overweight กลุ่มโรงพยาบาล โดยมี top picks ได้แก่ BCH และ BDMS โดยให้ราคาเป้าหมายปี 2565 เท่ากับ 23.00 และ 26.50 บาท ตามลำดับ

หุ้นที่เคยแนะนำก่อนหน้า
หุ้นที่แนะนำ “Let profit run”โดยกำหนดจุดล๊อกกำไรหากราคาปิดต่ำกว่า Trailing stop: BEC* (Trailing stop 13.5 บาท)
SCGP* (เป้า Consensus 60.8 บาท) แนวรับ 61 บาท / แนวต้าน 63 บาท หากผ่านได้แนะนำ “Let profit run” (Trailing stop 60 บาท)
MAJOR* (เป้าพื้นฐาน 28.25 บาท) แนวรับ 24.6 บาท / แนวต้าน 26.5 บาท หากผ่านได้แนะนำ “Let profit run” (Stop loss 24 บาท)
GPSC* (เป้า Consensus 86.3 บาท) แนวรับ 73.5 บาท / แนวต้าน 77 – 80 บาท (Stop loss 71 บาท)
SIMAT (เป้าพื้นฐาน 6.8 บาท) แนวรับ 5.6 บาท / แนวต้าน 5.8 – 6.15 บาท (Stop loss 5.3 บาท)
SIRI (เป้า Consensus 1.02บาท … สูงสุด 1.60 บาท) แนวรับ 1.3 บาท / แนวต้าน 1.37 – 1.42 บาท (Stop loss 1.3 บาท)
WHA* (เป้าพื้นฐาน 4.1 บาท) แนวรับ 3.18 บาท / แนวต้าน 3.3 – 3.4 บาท (Stop loss 3.16 บาท)
W (ยังไม่มีเป้า Consensus) แนวรับ 3.3 บาท / แนวต้าน 3.6 – 3.8 บาท (Stop loss 3.3 บาท)

Report ตามปัจจัยพื้นฐานวันนี้
KBANK* แนะนำ “ซื้อ” เป้าพื้นฐาน 182 บาท ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินดีลขายประกันให้ “เมืองไทยประกันชีวิต” (MTL) ผ่านธนาคารฯ และบริษัทย่อย 5 แห่ง รับค่าตอบแทน 1.27 หมื่นล้านบาท ทยอยบันทึกเป็นเวลา 10 ปี ไม่รวมค่าคอมมิชชั่นและโบนัส เป็นกลางๆต่อ KBANK* อย่างไรก็ดีมีโอกาสที่จะมี Upside หากสามารถเพิ่มส่วนแบ่งการตลาดธุรกิจประกันได้ในอนาคต

HMPRO* แนะนำ “ซื้อ” เป้าพื้นฐาน 17.8 บาท ฝ่ายวิจัยฯ ประเมินกำไร 2Q64 = 1.4 พันล้านบาท (+44% YoY, -0.3% QoQ) กำไรที่ดีขึ้นมาก YoY เป็นผลจากฐานต่ำในปีก่อน ฝ่ายวิจัยฯประเมินราคาหุ้นที่อาจอ่อนตัวลงมา Underperform ตลาดฯ เป็นโอกาสในการสะสมสำหรับการลงทุนระยะยาว เนื่องจากประเมินปัจจัยพื้นที่ดีรองรับการเปิดประเทศและการฟื้นตัวของเศรษฐกิจในอนาคต

GLOBAL* แนะนำ “ซื้อ” เป้าพื้นฐาน 27 บาท ฝ่ายวิจัยฯประเมินกำไร 2Q64 = 894 ล้านบาท (+76% YoY, -7% QoQ) กำไรที่ดีขึ้น YoY เป็นผลจากฐานต่ำในปีก่อนและราคาเหล็กที่ฟื้นตัว อย่างไรก็ดีผลจากราคาเหล็กที่ปรับขึ้นคาดจะเริ่มจำกัดใน 2H64 แต่การขยายสาขาใหม่และการเพิ่มสินค้า House brand จะเป็นปัจจัยหนุนการเติบโตในอนาคตได้

DOHOME แนะนำ “ซื้อ” เป้าพื้นฐาน 34 บาท ฝ่ายวิจัยฯคาดกำไร 2Q64 = 554 ล้านบาท (+280% YoY, +2% QoQ) โดยกำไรที่โตเด่นมาจากยอดขายและอัตรากำไรที่ขยายตัว โดยฝ่ายวิจัยฯ ประเมินว่ากลยุทธ์ทางธุรกิจของ DOHOME (House brand, Marketing strategy) จะช่วยหนุนการเติบโต แม้ไม่ได้อานิสงส์จากราคาเหล็กในอนาคต

Strategic SET daily
Market strategy Thailand

จิตวิทยาตลาดวันนี้: — กรอบราคา 1575 – 1581 จุด

วันนี้ หากดัชนี SET ดีดขึ้นปิดเหนือนัยต้าน 1581 จุดนั้น อาจทรงราคาขึ้นในกรอบ 1581-1599 จุด แต่หากวันนี้ ดัชนี SET ลดลงปิดต่ำกว่านัยรับ 1575 จุดนั้น อาจทรงราคาลงในกรอบ 1575-1563 จุด

แนวรับวันนี้: 1575/1565 แนวต้านวันนี้: 1581/1596

- Advertisement -