รายงานภาวะตลาดหุ้นรายวัน

“กำไรสหรัฐสดใส-ครม.ให้เงินเยียวยา-เอกชนนำเข้าวัคซีนเพิ่ม”

• หุ้นที่เปลี่ยนคำแนะนำทางปัจจัยพื้นฐานวันนี้: —-
# ภาวะตลาดและปัจจัยก่อนหน้า : SET วันจันทร์ แกว่งแคบ ปิด -2.25จุด ที่1549.84จุด มูลค่าบาง 75 พันลบ. ตลาดอ่อนลงกว่าเพื่อนบ้านที่ปรับขึ้นตามตลาดนิวยอร์ค หุ้นกลุ่มดึงตลาดลงคือ รพ.ซึ่งขึ้นมามากแล้ว และกังวลการตรวจ Rapid Test Antigent จะดึงรายได้การตรวจปกติCPR ให้ลดลงและPTTGC ปรับลงมากหลังมีข่าวบ.ย่อยซื้อหุ้นที่เยอรมัน มูลค่าสูง 1.48 แสนลบ. หุ้นขึ้นดีคือ EPG และ ACE ส่วนปรับลงแรงคือ CHG และ BCH รายย่อยซื้อสุทธิ3.1 พันลบ. สถาบันขายสุทธิ1.8 พันลบ. YTD ต่างชาติขายสูงถึง 82 พันลบ.

ปัจจัยบวก
ดาวโจนส์ปิดบวก 126.02 จุด รับความหวังผลประกอบการสดใส,จับตาพาวเวลแถลงและตัวเลขเงินเฟ้อ
รพ.เอกชนจับมือกับสถาบันนำเข้าวัคซีนต้านโควิด-19 คือไบโอเอนเทคของเยอรมนีชนิด mRNA และโนวาแวกซ์ของสหรัฐ 20 ล้านโดส แต่ต้องขออนุมัติจาก อย.ก่อน

ปัจจัยลบ
การประชุม G20 เตือนศก.โลกกำลังเผชิญโควิดสายพันธุ์ใหม่และประเทศยากจนไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนได้
ราคาน้ำมันดิบ WTI ปิดลบ 46 เซนต์วิตกโควิดฉุดดีมานด์ชะลอตัวและยังกังวลความล้มเหลวการประชุมโอเปกและโอเปกพลัส

ปัจจัยที่น่าติดตาม
วันนี้มีโอกาสสูงที่ครม.จะอนุมัติแผนการเยียวยาใหม่มาช่วยเหลือหลังมีมาตรการควบคุมโรคจำกัดโซนสีแดง 10 จังหวัดที่เข้มงวดขึ้น
แถลงการณ์พาวเวลต่อสภาฯ 14-15 ก.ค.64 และประกาศผลประกอบการบริษัทสหรัฐ 2Q/64 เริ่มตั้งแต่ 13 ก.ค.64 คาดว่าจะแข็งแกร่ง

# กลยุทธ์: คาด SET ไซด์เวย์ คาดกำไร 2Q64 บริษัทสหรัฐสดใส-ครม.อนุมัติให้เงินเยียวยาวันนี้-เอกชนเตรียมนำเข้าวัคซีน ตลาดหุ้นเพื่อนบ้านและ DJ Future ปรับขึ้นได้เล็กน้อย บอนด์ยิลด์ 10 ปีสหรัฐแม้ปรับขึ้น แต่อยู่ในระดับต่ำเป็น 1.37% ดัชนีความกังวล Vix ก็ดีต่ำเพียง 16.2 เท่า ภาพรวมปัจจัยต่างประเทศดูดี แต่ระยะหลัง SET ไม่ไปไหน แถมลง เพราะไม่แน่ใจว่ามาตรการศบค.ล่าสุดที่ออกมาจะได้ผลหรือไม่ รวมทั้งรอปัจจัยใหม่ๆ แถมดอลลาร์ที่แข็งค่าก็ดึงให้เม็ดเงินไหลออก ราคาหุ้นผันแปรไปตามข่าวเฉพาะตัว เช่น
1) กลุ่มการแพทย์ ฝ่ายวิจัยฯเห็นว่าเรื่องจะนำ Rapid Test Antigent มาใช้ แต่ในที่สุดก็ยังต้องให้รพ.ตรวจซ้ำอยู่ดี แนะนำทยอยสะสม CHG, BCH ต่อได้
2) PTTGC ไม่น่ากังวลเรื่องบ.ย่อยไปลงทุน Allnex เยอรมัน เพิ่มมูลค่า ไม่น่ากังวลเรื่องเพิ่มทุน ใช้เงินหมุนเวียนและกู้ PTT
3) TOP คาดกำไร 2Q64 ไม่สดใส เพราะธุรกิจการกลั่น แต่ 3Q64 มีสัญญาณดีจาก Aromatics แนะนำ ทยอยสะสม และ
4) เก็งกำไรหุ้นมีข่าวดี เช่น THG จะนำเข้าวัคซีน mRNA ถึง 20 ล้านโดส และหุ้นเล็ก BIZ,TM,WINMED,SMD ที่จะนำชุดเครื่องมือ Rapid Test Antigent มาจำหน่าย ทั้งรพ.และร้านขายยา เป็นต้น คาดว่าจะขายดี เพราะมีความต้องการมาก

# Stock Pick Today: CPN ทำ MOU ซื้อ SF ได้ประโยชน์ระยะยาว ในสัดส่วน 30% จาก MAJOR ที่ราคารับซื้อ 12.00 บาท แม้ดีลการซื้อครั้งนี้เห็นว่าไม่ได้ถูกมาก แต่ก็นับได้ว่าเป็นกลยุทธ์การขยายตัวที่แข็งแกร่งอีกครั้ง ไม่เป็นภาระเงินทุนมาก ในเบื้องต้นคาดว่าผลตอบแทนครั้งนี้จะยังไม่สูงจนกว่า CPN จะเข้าไปบริหารงานเพิ่มรายได้-ลดค่าใช้จ่ายต่างๆ คาดจะฟื้นเร็วหลังเปิดเมือง ราคาพื้นฐานเป็น 58.00 บาท

# วิเคราะห์ทางเทคนิค: ระยะสั้น สัญญาณ Candlestick & Indicators เป็นลบ {“ปิดลบ”ใต้“SMA10วัน”ต่อ (โดยมี“สัญญาณ Overbought + Divergence ในกราฟรายวัน”กดดัน)} ชี้ความน่าจะเป็นของตลาดฯวันนี้“แกว่ง”แบบให้น้ำหนักกับการลง แต่“ค่าบวก”(ถ้ามี/ มี“Oversold ในกราฟรายนาที”หนุน) จะช่วยให้มีรีบาวด์ฯสั้นก่อน(แล้วจึงลงต่ำ,ตามมา)ได้แนวต้าน 1560 (หรือ1570) จุด {แนวตัดขาดทุน “ต่ำกว่า 1545” (แนวเด้งสั้น “1530 / 1510 – 1500”) จุด}

Thailand Research Team : reseach-th.dbs.com

Key Drivers TODAY
ปัจจัยต่างประเทศ
+ สหรัฐ: นักลงทุนมุ่งความสนใจไปที่ผลประกอบการ 2Q/64 และคาดว่าจะแข็งแกร่ง
# นักวิเคราะห์จากบริษัทเครสเซท เวลธ์ แอดไวเซอร์สกล่าวว่า นักลงทุนส่วนใหญ่คาดการณ์ว่า ผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนจะออกมาแข็งแกร่ง และสิ่งที่นักลงทุนให้ความสนใจอย่างมากคือการเปิดเผยตัวเลขแนวโน้มผลประกอบการและแผนการดำเนินธุรกิจในวันข้างหน้าของบริษัทจดทะเบียน

• สหรัฐ: จับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนขนาดใหญ่ เช่น เจพีมอร์แกน, โกลด์แมน แซคส์ และเป๊ปซี่โค
# นักลงทุนจับตาผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียน โดยเจพีมอร์แกน, โกลด์แมน แซคส์ และเป๊ปซี่โค จะเปิดเผยผลประกอบการในวันอังคารที่ 13 ก.ค. ขณะที่แบงก์ ออฟ อเมริกา, ซิตี้กรุ๊ป, เวลส์ ฟาร์โก, เดลต้า แอร์ไลน์ และแบล็คร็อคเปิดเผยผลประกอบการในวันพุธที่ 14 ก.ค. ส่วนมอร์แกน สแตนลีย์ และยูไนเต็ดเฮลธ์ เปิดเผยผลประกอบการในวันพฤหัสบดีที่ 15 ก.ค.

• สหรัฐ: ติดตามถ้อยแถลงของ พาวเวล ประธาน เฟด ต่อสภา วันที่ 14-15 ก.ค.นี้
# นักลงทุนรอดูถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ซึ่งมีกำหนดกล่าวแถลงการณ์รอบครึ่งปีว่าด้วยนโยบายการเงินและภาวะเศรษฐกิจสหรัฐต่อสภาคองเกรสในสัปดาห์นี้ เพื่อหาสัญญาณบ่งชี้ภาวะเศรษฐกิจ,อัตราเงินเฟ้อ, ทิศทางอัตราดอกเบี้ย รวมทั้งผลกระทบจากการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 ที่มีต่อเศรษฐกิจสหรัฐ โดยนายพาวเวลจะกล่าวถ้อยแถลงต่อคณะกรรมาธิการการธนาคารประจำวุฒิสภาในวันที่ 14 ก.ค. และแถลงต่อคณะกรรมาธิการบริการการเงินประจำสภาผู้แทนราษฎรในวันที่ 15 ก.ค.

– การประชุม G20: เตือนศก.โลกกำลังเผชิญโควิดสายพันธุ์ใหม่ และประเทศยากจนไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนได้
# กลุ่มรัฐมนตรีคลังและผู้ว่าการธนาคารกลางของประเทศกลุ่ม G20 ประกาศเตือนว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกกำลังเผชิญความเสี่ยงจากเชื้อโควิด-19 สายพันธุ์ใหม่ และจากการที่ประเทศที่มีฐานะยากจนไม่สามารถเข้าถึงวัคซีนได้อย่างเต็มที่

+ ตลาดหุ้นสหรัฐ: ดาวโจนส์ปิดบวก 126.02 จุด รับความหวังผลประกอบการสดใส-จับตาพาวเวลแถลง
# ดัชนีดาวโจนส์ตลาดหุ้นนิวยอร์กปิดบวกเมื่อคืนนี้ (12 ก.ค.) โดยดัชนีหลักทั้ง 3 ดัชนีปิดทำนิวไฮ ขานรับการคาดการณ์ที่ว่าผลประกอบการไตรมาส 2 ของบริษัทจดทะเบียนจะออกมาแข็งแกร่ง โดยนักลงทุนเข้าซื้อหุ้นกลุ่มธนาคารอย่างคึกคักก่อนที่ธนาคารรายใหญ่ซึ่งรวมถึงเจพีมอร์แกนและโกลด์แมน แซคส์ จะเปิดเผยผลประกอบการในสัปดาห์นี้ ขณะเดียวกันนักลงทุนจับตาตัวเลขเงินเฟ้อของสหรัฐ รวมทั้งถ้อยแถลงของนายเจอโรม พาวเวล ประธานธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ในสัปดาห์นี้ด้วย

– ตลาดน้ำมัน: WTI ปิดลบ 46 เซนต์ วิตกโควิดฉุดดีมานด์ชะลอตัว
# สัญญาน้ำมันดิบเวสต์เท็กซัส (WTI) ตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (12 ก.ค.) เนื่องจากนักลงทุนกังวลว่า การแพร่ระบาดอย่างหนักของไวรัสโควิด-19 โดยเฉพาะไวรัสสายพันธุ์เดลตา จะส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจและความต้องการใช้น้ำมันในตลาดโลก นอกจากนี้ ตลาดน้ำมันยังถูกกดดันจากความล้มเหลวในการบรรลุข้อตกลงของกลุ่มประเทศผู้ส่งออกน้ำมัน(โอเปก) และชาติพันธมิตร หรือโอเปกพลัส

• ตลาดทองคำ: ปิดลบ $4.7 เหตุดอลล์แข็ง-บอนด์ยีลด์พุ่งกดดันตลาด
# สัญญาทองคำตลาดนิวยอร์กปิดลบเมื่อคืนนี้ (12 ก.ค.) โดยได้รับแรงกดดันจากการแข็งค่าของสกุลเงินดอลลาร์และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐที่ปรับตัวสูงขึ้น

• ติดตามตัวเลขเศรษฐกิจสหรัฐทยอยประกาศสัปดาห์นี้
# นักลงทุนยังจับตาข้อมูลเศรษฐกิจของสหรัฐในสัปดาห์นี้ด้วย ซึ่งรวมถึง ดัชนีราคาผู้บริโภค (CPI) เดือนมิ.ย., ดัชนีราคาผู้ผลิต (PPI) เดือนมิ.ย., จำนวนผู้ขอรับสวัสดิการว่างงานรายสัปดาห์, ดัชนีการผลิตเดือนก.ค.จากเฟดฟิลาเดลเฟีย, ดัชนีภาคการผลิต (Empire State Manufacturing Index) เดือนก.ค.จากเฟดนิวยอร์ก, ราคานำเข้าและส่งออกเดือนมิ.ย., การผลิตภาคอุตสาหกรรมเดือนมิ.ย., ยอดค้าปลีกเดือนมิ.ย., สต็อกสินค้าคงคลังภาคธุรกิจเดือนพ.ค. และดัชนีความเชื่อมั่นผู้บริโภคสหรัฐขั้นต้นเดือนก.ค.จากมหาวิทยาลัยมิชิแกน

ปัจจัยในประเทศและข่าวหลักทรัพย์
– ธปท.คาดล็อกดาวน์รอบล่าสุดนี้ ย่อมส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจ
# ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ระบุการประเมินแนวโน้มเศรษฐกิจจากผลกระทบการล็อกดาวน์ในรอบล่าสุดที่เริ่มมีผลวันที่ 12 ก.ค.64 ย่อมจะส่งผลกระทบต่อกิจกรรมทางเศรษฐกิจได้มากกว่าที่คาดไว้ ซึ่ง ธปท.จะประเมินผลกระทบอย่างใกล้ชิด โดยขอรอดูผลกระทบที่อาจจะเกิดขึ้นจริงก่อน เพราะมาตรการดังกล่าวเพิ่งมีผลบังคับใช้วันนี้

+ ธปท.เผยระบบการเงินไทยมีเสถียรภาพ ธนาคาร,หลักทรัพย์ และประกันภัยมีเงินกองทุนอยู่ในระดับสูง
# ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เปิดเผยผลการประชุมร่วมกันระหว่างคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) และคณะกรรมการนโยบายสถาบันการเงิน (กนส.) เพื่อติดตามและประเมินเสถียรภาพระบบการเงินไทย โดยที่ประชุมเห็นว่าระบบการเงินไทยโดยรวมยังมีเสถียรภาพ ธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจประกันภัยมีเงินกองทุนอยู่ในระดับสูง ส่วนตลาดการเงินมีเสถียรภาพและสามารถทำหน้าที่ได้ตามปกติ โดยการทดสอบภาวะวิกฤตระดับมหภาค (macro stress test) ที่หน่วยงานกำกับดูแลจัดทำ พบว่าธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ กองทุนรวม และบริษัทประกันภัย มีสภาพคล่องเพียงพอและมีฐานะทางการเงินที่สามารถรองรับภาวะวิกฤตได้

-ทีดีอาร์ไอ คาดเศรษฐกิจไทยในปี 64 จะเติบโตได้ที่เพียง 1.5% มีนักท่องเที่ยวปีนี้ให้ลดลงเหลือราว 5 แสนคน
# สถาบันวิจัยเพื่อการพัฒนาประเทศไทย (ทีดีอาร์ไอ) คาดเศรษฐกิจไทยในปี 64 จะเติบโตได้ที่ 1.5% จากความไม่แน่นอนในการควบคุมการระบาดของโควิด-19 ซึ่งกระทบต่อจำนวนนักท่องเที่ยวที่จะเข้ามาในปีนี้ให้ลดลงเหลือประมาณ 5 แสนคน จากเดิมที่เคยคาดไว้ว่าจะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาประมาณ 1 ล้านคน ถึงแม้สถานการณ์โดยรวมของการระบาดครั้งนี้จะไม่รุนแรงเท่าปีที่แล้วที่มีการล็อกดาวน์ทุกภาคส่วน แต่การระบาดครั้งนี้ส่งผลกระทบต่อภาคบริการพอสมควร

+ THG: หมอบุญ เผยเจรจาองค์กรรัฐช่วยนำเข้าวัคซีนทางเลือกอีก 2 ยี่ห้อ 20 ล้านโดสปลายเดือนนี้
# ประธานกรรมการ บมจ.ธนบุรีเฮลท์แคร์กรุ๊ป (THG) กล่าววานนี้ว่า ขณะนี้โรงพยาบาลเอกชนได้จับมือกับสถาบันและกลุ่มบางกลุ่มเพื่อนำเข้าวัคซีนต้านโควิด-19 เพิ่มเติม 2 ชนิด คือ ไบโอเอนเทคของเยอรมนีชนิด mRNA ตัวเดียวกับไฟเซอร์และโนวาแวกซ์ของสหรัฐ คาดว่าจะสั่งซื้อเข้ามาจำนวน 20 ล้านโดส โดยส่วนราคานำเข้าวัคซีนต่อโดสที่รวมต้นทุนค่าจัดเก็บ และค่าขนส่งแล้วอยู่ที่ประมาณ 900 บาท/โดส แต่ยังต้องมีค่าภาษีอีกส่วนหนึ่ง แต่ทั้งนี้ต้องได้รับการอนุมัติจากอย.ก่อนแต่คาดว่าจะไม่มีปัญหา

-/• การแพทย์: Rapid Test Antigent มีส่วนทำหุ้น โรงพยาบาลระส่ำวานนี้
# วานนี้ราคาหุ้นปรับลงมาก เช่น CHG, BCH ส่วนหนึ่งคาดว่าจากเดิมที่เป็นการตรวจแบบ RT-CPR ที่ต้องใช้เวลานานแต่ถ้ารัฐอนุญาตให้ใช้การตรวจแบบ Rapid Test Antigentซึ่งใช้เวลาน้อยกว่า แถมอาจจะมีแบบ “KIT” คือให้ประชาชนไปตรวจได้เอง จึงกังวลว่ารายได้ในส่วนนี้ของโรงพยาบาลจะหดหายลงไป นอกจาประเด็นราคาหุ้นที่ปรับขึ้นรับข่าวดีมามากแล้ว

# สำหรับความเคลื่อนไหวของทางการขณะนี้เพื่อลดความคับคั่งจากการที่คนไปแห่ตรวจกันตามที่เป็นข่าวจึงได้พิจารณา24 บริษัทที่ผ่านชุดเครื่องมือการตรวจแล้ว (ไม่ได้เป็นบจ.) และกำลังพิจารณาบริษัทอื่นๆเพิ่มเติม มีโอกาสสูงที่จะให้โรงพยาบาลเป็นผู้ตรวจแต่สำหรับประชาชนแบบ KIT ยังไม่ได้อนุญาตออกมาและไม่ได้ให้ร้านขายยาสามารถจำหน่ายได้แล้ว ทั้งนี้ในเบื้องต้นชุดตรวจจะอยู่ที่ราว 300 บาท
# ผลกระทบ: ระยะนี้ที่ทางการกำลังพิจารณา Rapid Test Antigent จนมีความคืบหน้าทำให้หุ้นโรงพยาบาลได้รับผลลบว่าจะขาดรายได้จากเรื่องข้างต้น แต่ฝ่ายวิจัยฯ เห็นว่าเรื่องนี้จะเป็นปัจจัยลบระยะสั้น เพราะในที่สุดแล้วก็ต้องไปตรวจซ้ำด้วยวิธีRT-CPR เพื่อความมั่นใจว่าจะต้องเข้ารับการรักษาแน่ๆแล้ว และวิธีการตรวจแบบนี้ต้องเป็นอาการหนักๆจึงจะเห็นผล ส่วนการตรวจแบบ KIT แม้สะดวก เห็นผลเร็ว แต่ก็จะไม่มั่นใจว่าตรวจแล้วได้ผลถูกต้องไหม (ใช้ได้แค่เบื้องต้น) อีกทั้งทางโรงพยาบาลก็มีแหล่งรายได้จากโรคอยู่ดีคือ ยังได้ให้รับการตรวจแบบ Rapid Test Antigent ,จะมีการรับจ้างฉีดวัคซีน, บริการฉีดวัคซีนทางเลือก และรักษาโรคโควิด-19 เป็นต้น

- Advertisement -